วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

หน้ากากอนามัย N95 ต้องใส่ให้ถูกวิธี ถึงจะป้องกันฝุ่นพิษได้

หน้ากากอนามัย N95 ต้องใส่ให้ถูกวิธี ถึงจะป้องกันฝุ่นพิษได้ 


          ศ.นพ.ยง กล่าวถึงหน้ากากอนามัย N95 ป้องกันฝุ่นละอองได้ แต่ต้องใส่อย่างถูกต้อง หากมีลมออกข้างไม่ต่างจากหน้ากากคาดหู แนะควรป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษ ลดใช้ดีเซล 


          วันที่ 14 มกราคม 2562 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ถึงเรื่องหน้ากากอนามัย N95 ว่า หลังจากที่ผมโพสต์เรื่องมลพิษทางอากาศที่โยงไปถึง N95 อยากจะให้ความเห็นเพิ่มเติม หน้ากาก N95 ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อป้องกันเชื้อโรค หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก เข้าสู่ตัวเรา ขนาดของไวรัสมีขนาดเป็น nm ขนาดของแบคทีเรีย มีขนาดตั้งแต่ 0, 2 micron จนถึง 5 micron ดังนั้นฝุ่นละอองขนาด 2.5 micron จึงมีขนาดเล็กมาก ผมเชื่อได้เลยว่ามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น การใส่หน้ากาก N95 หรือหน้ากากชีวนิรภัย เราจะใช้ในห้องปฏิบัติการ อย่างที่ผมใช้อยู่ในห้องปฏิบัติการเชื้อโรค หรือใส่เข้าไปพร้อมชุดเมื่อต้องการเข้าไปตรวจโรคกับผู้ป่วย ที่อาจจะมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อโรคได้ในระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรค

          การใส่หน้ากาก N95 เราจะมีวิธีการสอน การใส่อย่างเคร่งครัด ระหว่างที่ใส่ เราจะมีการทำ fit test คือกดขอบลวดด้านบนให้แนบกับดั้งจมูก และดึงสายรัดให้ตึง ระหว่างหายใจ จะต้องไม่มีลมรั่วออกทางด้านข้างได้เลย ถึงจะป้องกันตัวเราได้ 95% ในทางปฏิบัติ การใส่ดังกล่าว การหายใจจะต้องออกแรงเพิ่มขึ้น ดังนั้นการปฏิบัติงานเราจะไม่สามารถใส่ได้เป็นระยะเวลายาวนาน อย่างที่เคยบอก ถ้าเกิน 1 ชั่วโมงก็เก่งแล้ว การใส่หน้ากาก N95 เพื่อป้องกันฝุ่นละออง ขนาดจิ๋ว และใส่ถูกวิธี ป้องกันได้แน่นอน แต่ผู้ที่ใส่จะทนได้แค่ไหน แต่ถ้าใส่ไม่ถูกวิธี หรือมีลมออกข้าง ๆ ก็คงไม่ต่างอะไรกับใส่หน้ากากคาดที่หู 


          คนป่วย คนที่ไม่แข็งแรง แล้วโดนใส่ N95 ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทนได้หรือ การใส่ N95 แล้วเดินตามถนน ลองเดินเร็ว ๆ ดู จะทนไหวไหม ก็คงขึ้นอยู่กับบุคคล โดยส่วนตัวไม่ได้คัดค้านการใส่ N95 เป็นเรื่องส่วนบุคคล ถ้าจะใส่ก็ใส่ให้ถูกวิธี ในสังคม Social Media ทำให้ขณะนี้ หน้ากาก N95 ขาดตลาด ถ้าเกิดโรคระบาดจริง ๆ ในช่วงนี้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้จะทำอย่างไร ผมเข้าใจว่าทุกคนรักสุขภาพ เป็นห่วงสุขภาพ เรากำลังจะทำเกินไปหรือไม่ ฟังฝ่ายรัฐชี้แจงว่าบริเวณไหนที่เป็นสีแดง ก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ในช่วงที่มีฝุ่นละอองขนาดจิ๋วมาก งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง 

          เรารู้ว่าการป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษจะดีที่สุด มลพิษหลักมาจากรถที่ใช้ดีเซล เราจะลดการใช้น้ำมันดีเซลได้หรือไม่ ถ้าทุกคนช่วยกันลดการใช้รถยนต์ ในอนาคตถ้าใช้ไฟฟ้าได้จะยิ่งดี ผมเชื่อว่า ถ้ามีลมหนาวหรือลมแรงพัดเข้ามา ก็จะช่วยกระจายลดมลพิษออกไปได้ รวมทั้งฝนตกได้ยิ่งดี สิ่งสำคัญ เราทุกคนต้องช่วยกัน ถ้าเห็นกรุงเทพฯ ทุกคนใส่ N95 มาเดินตามท้องถนน ก็จะเป็นเมืองแรกของโลก ที่ใช้ N95 มากที่สุดในโลก

ที่มา: Kapook.co
m

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562

เกร็ดความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เกร็ดความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เปิดเกร็ดความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก งานมหามงคลที่คนไทยควรรู้


          เปิดเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีเก่าแก่ ซึ่งเป็นงานมหามงคลที่คนไทยควรเรียนรู้ เผยเคยมีพระราชพิธีมาแล้ว 11 ครั้ง จากกษัตริย์ 9 พระองค์ ซึ่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวง ร.10 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 12


          นับเป็นข่าวน่ายินดีของคนไทยทั้งประเทศ หลังสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2562 (อ่านข่าว : ในหลวง ร.10 โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4-6 พ.ค. 62)

          สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถือเป็นพระราชพิธีเก่าแก่ เป็นงานมหามงคลที่คนไทยควรศึกษา โดยมีประวัติความเป็นมาดังนี้

          พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระราชพิธีสำหรับผู้ที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์ หรือเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อรับรองฐานะความเป็นประมุขของรัฐอย่างเป็นทางการ 
          ปรากฏหลักฐานครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย สมัยที่พ่อขุนผาเมือง ได้อภิเษกให้พระสหายคือ พ่อขุนบางกลางหาว เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ผู้ครองกรุงสุโขทัย แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดการประกอบพระราชพิธี

          กระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อขึ้นเสวยราชสมบัติ ได้ทรงทำพระราชพิธีนี้อย่างสังเขป เมื่อปี พ.ศ. 2325 ครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นได้ทรงตั้งคณะกรรมการสอบสวนแบบแผนโดยถี่ถ้วน แล้วตั้งขึ้นเป็นตำรา จากนั้นก็ทรงพิธีบรมราชาภิเษกแบบเต็มพิธี ตามตำราอีกครั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2328 และได้ใช้เป็นแบบแผนตามตำรากับรัชกาลต่อมาจนถึงปัจจุบัน 


          หากนับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ได้มีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาแล้วจำนวน 11 ครั้ง ดังนี้

          1. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จำนวน 2 ครั้ง

          2. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จำนวน 1 ครั้ง 

          3. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง 

          4. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง     

          5. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ครั้ง     

          6. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ครั้ง 

          7. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง 

          8. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 1 ครั้ง 

          สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะเป็นการประกอบพระราชพิธีครั้งที่ 12

          ทั้งนี้ หากพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใด มิได้ผ่านการพิธีบรมราชาภิเษก ถือว่าทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัวยังไม่เต็มพระองค์ เครื่องยศและพระนามต่าง ๆ จะแตกต่างไปจากพระเจ้าอยู่หัวที่ผ่านการพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว เช่น จะไม่มีคำว่า "พระบาท" นำหน้าพระนาม จะมีแค่เพียงคำว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดยหลังประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ในวันที่เดียวกันนั้นของปีถัดไป จะกลายเป็นวันฉัตรมงคล

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ภาพจาก วิกิพีเดีย

          สำหรับขั้นตอนการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยขั้นตอนหลักสำคัญ 5 ขั้นตอน ได้แก่

          ขั้นตอนที่ 1 พิธีเชิญน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญ มาเสกทำพระพุทธมนต์และน้ำเทพมนต์ เพื่อเตรียมน้ำอภิเษกและน้ำสรงพระมุรธาภิเษก ซึ่งตักมาจากแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ และมาตั้งพิธีเสกที่พุทธเจดียสถานและวัดสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย

          1. แม่น้ำป่าสัก ณ ตำบลท่าราบ ไปทำพิธีเสกน้ำที่พระพุทธบาท อันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในมณฑลประเทศที่ตั้งกรุงละโว้และกรุงศรีอยุธยา

          2. ทะเลแก้วและสระแก้ว แขวงเมืองพิษณุโลก ไปทำพิธีในพระวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีมหาธาตุ จ.พิษณุโลก อันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในโบราณราชธานีฝ่ายเหนือ

          3. น้ำโชกชมภู่ น้ำบ่อแก้ว น้ำบ่อทอง แขวงเมืองสวรรคโลก ไปทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุ เมืองสวรรคโลก อันเป็นมหาเจดียสถานโบราณราชธานีครั้งสมเด็จพระร่วง (ปัจจุบันอยู่ในเขต จ.สุโขทัย)

          4. แม่น้ำนครไชยศรี ที่ตำบลบางแก้ว ไปทำพิธีที่พระปฐมเจดีย์ เมืองนครไชยศรี อันเป็นโบราณมหาเจดีย์ตั้งแต่สมัยทวารวดี

          5. บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน บ่อวัดเสมาไชย บ่อวัดเสมาเมือง บ่อวัดประตูขาว ห้วยเขามหาชัย และน้ำบ่อปากนาคราช ในเมืองนครศรีธรรมราช ไปทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช อันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในโบราณราชธานีนครศรีธรรมราช

          6. บ่อทิพย์ เมืองนครลำพูน ไปทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุหริภุญไชย อันเป็นมหาเจดียสถานในแว่นแคว้นโบราณราชธานีทั้งหลายในฝ่ายเหนือ คือ นครหริภุญไชย นครเขลางค์ นครเชียงแสน นครเชียงราย นครพะเยา และนครเชียงใหม่

          7. บ่อวัดธาตุพนม ทำพิธีเสกที่พระธาตุพนม เมืองนครพนม มณฑลอุดรอันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในประเทศที่ตั้งโบราณราชธานีโคตรบูรพ์หลวง

          นอกจากนี้ ยังได้ตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปตั้งทำพิธี ณ วัดสำคัญในมณฑลต่าง ๆ อีก 10 มณฑล ได้แก่

          1. วัดบรมธาตุ เมืองชัยนาท มณฑลนครสวรรค์

          2. วัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์ มณฑลเพชรบูรณ์

          3. วัดกลาง เมืองนครราชสีมา มณฑลนครราชสีมา

          4. วัดสีทอง เมืองอุบลราชธานี มณฑลอีสาน

          5. วัดยโสธร เมืองฉะเชิงเทรา มณฑลปราจีนบุรี

          6. วัดพลับ เมืองจันทบุรี มณฑลจันทบุรี

          7. วัดตานีนรสโมสร เมืองตานี มณฑลปัตตานี

          8. วัดพระทอง เมืองถลาง มณฑลภูเก็ต

          9. วัดพระธาตุ เมืองไชยา มณฑลชุมพร

          10. วัดพระมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี มณฑลราชบุรี

          รวมสถานที่ที่ทำน้ำอภิเษกทั้งหมด 17 แห่ง และน้ำอภิเษกนี้ ยังคงใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนจากวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ มาที่พระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ และเพิ่มอีกแห่งหนึ่งที่บึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด จึงรวมเป็นที่ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษกที่หัวเมืองมณฑลต่าง ๆ รวม 18 แห่ง ต่อมาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เปลี่ยนจากพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ มาเป็นพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ภาพจาก ไทยโพสต์

          ขั้นตอนที่ 2 พระราชพิธีจารึกดวงพระราชสมภพและพระบรมนามาภิไธยพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติลงพระสุพรรณบัฏ

          ขั้นตอนที่ 3 พระราชพิธีโสรจสรงพระมุรธาภิเษก รับน้ำพระพุทธมนต์และน้ำเทพมนต์ เพื่อสรงสนานพระองค์และสรงสนานพระเศียรด้วยสหัสธารา อันเป็นการชำระและบังเกิดสิริสวัสดิมงคลยิ่งโดยโบราณราชประเพณี

          ขั้นตอนที่ 4 พระราชพิธีถวายพระราชสมบัติอันบริบูรณ์ในพระราชอาณาจักร ประมวลเป็นประมาณมาทั้งอัฐทิศแด่พระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงรับไว้อภิรักษ์ และอภิบาลให้เป็นอาณาประโยชน์แก่พสกนิกร

          ขั้นตอนที่ 5 พระราชพิธีถวายดวงพระบรมราชสมภพ พระบรมนามาภิไธย พระมหาราชครูพราหมณ์ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องมงคลสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ แสดงพระราชฐานะสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าโดยสมบูรณ์ ทรงรับเครื่องมงคลสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ แล้วจึงมีพระราชดำรัสดังปฐมราชโองการ

          โดยในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ในวันนั้นได้มีปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกภาพจาก ไทยโพสต์                                                                            ที่มา: Kapook.com

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2561

นิทานอีสป ราชสีห์กับหนู

นิทานอีสป ราชสีห์กับหนู นิทานสอนใจสำหรับลูกน้อย


          นิทานอีสป เรื่อง ราชสีห์กับหนู นิทานน่ารัก ๆ ของเหล่าสัตว์ป่ามาพร้อมกับข้อคิดสอนใจดี ๆ เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ให้คุณพ่อคุณแม่ใช้เล่ากล่อมลูกน้อยก่อนนอน

           รู้หรือไม่ว่า การเล่านิทานให้ลูกฟังมีประโยชน์และข้อดีมากมาย เพราะนอกจากจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อยแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างทักษะการฟัง การอ่าน สอนให้รู้จักคิด รู้จักสังเกต และปลูกฝังพื้นฐานการเรียนรู้รวมถึงการดำเนินชีวิตที่ดีให้แก่เด็ก ๆ อีกด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมมีนิทานอีสปเรื่อง "ราชสีห์กับหนู" มาฝากให้คุณพ่อคุณแม่นำไปเล่าให้ลูกน้อยฟัง พร้อมภาพประกอบ และข้อคิคดี ๆ รับรองว่าคืนนี้ถ้าได้อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน เด็ก ๆ ต้องหลับฝันดีแน่ ^^

นิทานอีสป
          กาลครั้งหนึ่ง ณ ผืนป่าอันกว้างใหญ่ ขณะราชสีห์ผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งหลายกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุข จู่ ๆ ก็มีหนูตัวน้อยไต่ขึ้นมาปีนป่ายบนหลังจนราชสีห์รู้สึกตัวตื่น ก่อนใช้อุ้งเท้าใหญ่ตะครุบหนูน้อยตัวนั้น หวังจะขย้ำกินด้วยความโมโหเพราะถูกขัดจังหวะการพักผ่อน

          แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากกว้างดีก็มีเสียงอ้อนวอนเล็ก ๆ จากเจ้าหนูดังขึ้นมาว่า "ได้โปรดให้อภัยข้าสักครั้งเถิดท่านเจ้าป่า ข้าขอสาบานว่าข้าไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินท่านเลยแม้แต่น้อย หากคราวนี้ท่านมีเมตตาปล่อยตัวข้าไป ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่าน ข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน ข้าสัญญา"

          ทันทีที่ได้ยินราชสีห์เจ้าป่าก็หัวเราะลั่นแล้วตอบกลับไปว่า "เจ้าเป็นเพียงหนูตัวเล็กแค่นี้ จะมีปัญญาทำอะไรตอบแทนข้าที่เป็นถึงราชาผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่เอาเถอะ เห็นแก่มุกตลกของเจ้าที่ทำให้ข้าหัวเราะได้ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน" แม้จะเต็มไปด้วยคำดูถูกแต่เจ้าหนูน้อยก็ตอบรับอย่างนอบน้อมและจริงใจ "ขอบคุณท่านเจ้าป่าผู้เมตตา ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย"

          หลายวันผ่านไป ขณะราชสีห์กำลังออกล่าหาอาหารก็ดันพลาดท่าไปติดกับดักนายพรานเข้า ต่อให้ดิ้นแรงแค่ไหนก็ดิ้นไม่หลุดทำได้แต่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง โชคที่ดีเจ้าหนูได้ยินเข้าจึงรีบวิ่งตามเสียงนั้นไปแล้วรีบลงมือช่วยเหลือราชสีห์ทันที เจ้าหนูใช้ฟันเล็ก ๆ ของมันกัดบ่วงกับดักทีละเส้นอย่างตั้งใจจนราชสีห์รู้สึกผิดที่เคยพูดดูถูกอีกฝ่ายไว้สารพัด

          เมื่อบ่วงเส้นสุดท้ายขาดและราชสีห์รอดเป็นอิสระอีกครั้งจึงพูดกับเจ้าหนูว่า "ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยข้าเอาไว้ และข้าขอโทษด้วยที่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันนั้น" เจ้าหนูยิ้มรับคำขอบคุณนั้นอย่างยินดีแล้วตอบกลับไปว่า "ข้าไม่เคยถือโทษโกรธเลยท่านเจ้าป่า และข้าดีใจยิ่งกว่าที่ได้ตอบแทนท่านอย่างที่สัญญาไว้"

          เมื่อต่างคนต่างเข้าใจ ไม่ถือโทษโกรธกัน หลังจากนั้นราชสีห์กับเจ้าหนูก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่เคยดูถูกว่าร้ายกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และใช้ชีวิตด้วยกันในป่ากว้างร่วมกับสัตว์อื่น ๆ อย่างมีความสุขเรื่อยไป...

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          อย่าตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก อย่าคิดว่าคนที่มีฐานะด้อยกว่าจะไม่สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ เพราะคนที่มีรูปร่างเล็กก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องต่ำต้อยหรืออ่อนแอ ในขณะเดียวกันคนที่มีรูปร่างใหญ่โตก็ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งกาจหรือแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่น เหมือนกับราชสีห์ในนิทานที่มีอำนาจและทรงพลัง เป็นถึงราชาผู้คุ้มครองสัตว์ป่าแต่ก็สามารถผิดพลาดจนต้องให้หนูตัวเล็ก ๆ มาช่วย ดังนั้นเราจึงควรปฏิบัติตัวดีกับคนอื่น กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หากมีปัญหาก็ควรทำความเข้าใจ รู้จักขอโทษให้อภัยต่อกัน แล้ววันหนึ่งเราจะได้รับแต่สิ่งดี ๆ ทั้งความรู้สึกดี ๆ และมิตรภาพดี ๆ ตอบแทนกลับมาอย่างแน่นอนค่ะ    
ที่มา :Kapook.com

นิทานอีสป หนูน้อยหมวกแดง

นิทานอีสป หนูน้อยหมวกแดง นิทานสอนใจเล่าให้ลูกน้อยฟังก่อนนอน





           วันนี้กระปุกดอทคอมมี  นิทานอีสป เรื่อง  หนูน้อยหมวกแดง มาฝากคุณหนู ๆ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเล่าให้ลูกน้อยฟังก่อนนอนได้ เพราะนอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกสนานแล้วนั้น ยังแฝงไปด้วยข้อคิดดี ๆ อีกด้วย ^^

          กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านที่แสนอบอุ่น มีเด็กหญิงหน้าตาน่ารักนั่งเล่นดูคุณแม่ทำอาหารอยู่ในครัว เพื่อนบ้านทุกคนต่างพากันเรียกเธอว่า "หนูน้อยหมวกแดง" ตามสีของหมวกที่เธอใส่เป็นประจำ และวันนี้เธอก็ได้รับคำสั่งจากคุณแม่ ให้นำอาหารและขนมไปเยี่ยมคุณยาย ผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ

นิทานอีสป
          "เอาตะกร้านี้ไปส่งให้ถึงมือคุณยายนะจ๊ะ แล้วก็รีบไปรีบกลับ อย่าไปเที่ยวเล่น เถลไถลที่ไหนไกล อย่าพูดคุยกับคนแปลกหน้าด้วยล่ะ เข้าใจไหม ?" คุณแม่คนสวยกำชับด้วยความเป็นห่วง ลูกสาวตัวน้อยเองก็ตอบรับสัญญา แล้วออกจากบ้านไปอย่างร่าเริง

          ระหว่างทางไปบ้านคุณยาย บังเอิญมีหมาป่าเจ้าเล่ห์เดินมาพบกับหนูน้อยหมวกแดง จึงเข้าไปทักทายหวังจับเด็กหญิงทำเป็นอาหารมื้อเย็น "สวัสดีจ้ะสาวน้อย มาทำอะไรในป่าตรงนี้คนเดียวเหรอจ๊ะ ?"
นิทานอีสป
          "หนูกำลังไปเยี่ยมคุณยายที่หมู่บ้านใกล้ ๆ นี้เองค่ะ" หนูน้อยหมวกแดงตอบอย่างเป็นมิตร แต่กลับทำให้เจ้าหมาป่าคิดอุบายหลอกล่อ หวังจับคุณยายของเธอมาเป็นเหยื่อด้วยอีกคน 

          "แต่ว่าสาวน้อย.. เอาตะกร้าเล็ก ๆ ไปแค่นี้ คุณยายเสียใจแย่เลย ฉันว่าเราไปเก็บดอกไม้สวย ๆ มาเป็นของขวัญเพิ่มกันเถอะ" หมาป่าชักชวนให้หนูน้อยหมวกแดงออกนอกเส้นทาง มันจะได้รีบตรงไปจับคุณยายกินก่อน แล้วดักรอหนูน้อยหมวกแดงที่บ้านนั้นเลย

นิทานอีสป
          โชคไม่ดีที่หนูน้อยหมวกแดงหลงเชื่อคำชวน แล้วหันไปเก็บดอกไม้ และเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินจนลืมทั้งเวลา ทั้งคำตักเตือนของคุณแม่ไปหมดสิ้น กระทั่งเจ้าหมาป่าเดินทางไปถึงหมู่บ้านข้าง ๆ แล้วจับตัวคุณยายซ่อนเอาไว้ในตู้ ก่อนนำเสื้อผ้ามาใส่ เพื่อปลอมตัวเป็นคุณยายนอนป่วยอยู่บนเตียง รอให้หนูน้อยหมวกแดงมาถึงแล้วจับกินทั้งยายทั้งหลานพร้อมกันทีเดียว 

นิทานอีสป
          เมื่อหนูน้อยหมวกแดงรู้ตัวว่าทำผิดคำสั่งคุณแม่ ก็รีบวิ่งไปหาคุณยายที่บ้านทันที แต่กลับพบเข้าว่าคุณยายของเธอนั้น มีท่าทางและหน้าตาแปลกประหลาดไปจากเดิม 

นิทานอีสป

"คุณยายคะ ทำไมคุณยายต้องนอนคลุมโปงด้วยล่ะคะ ?" หนูน้อยถามด้วยความสงสัย

"ยายเป็นไข้ไม่สบาย ยายเลยหนาวจ้ะหลาน" หมาป่าดัดเสียงตอบ

"คุณยายคะ ทำไมเสียงของคุณยายแปลกจังเลยคะ ?" หนูน้อยถามอีกครั้ง

          "ยายเจ็บคอ ไอหนักมาก เสียงเลยเพี้ยนไปหน่อยจ้ะหลาน" หมาป่าตอบพร้อมแกล้งทำเป็นไอค่อกแค่ก ทำให้หนูน้อยหมวกแดงสังเกตเห็นเขี้ยวแหลมในปาก

          "คุณยายคะ ทำไมคุณยายถึงมีเขี้ยวยาวขนาดนั้นล่ะคะ ?" หนูน้อยหมวกแดงถาม แล้วค่อย ๆ เดินถอยออกมา เพราะเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย

นิทานอีสป
        
          "ก็เพราะยายมีเขี้ยวไว้จับหลานกินไงล่ะ เจ้าหนูน้อย !!" คราวนี้หมาป่าไม่แสร้งทำตัวใจดีอีกต่อไป พร้อมกระโจนมาตะครุบตัวหนูน้อยหมวกแดงอย่างเกรี้ยวกราด แต่โชคดีที่เสียงกรี๊ดของหนูน้อย ดังไปถึงนายพรานหนุ่มสองคนที่ผ่านมาพอดี 

          ปัง ปัง ปัง !!! เสียงปืนดังขึ้นสามนัด พร้อมกับร่างของหมาป่าดิ้นรนอย่างเจ็บปวด นายพรานหนุ่ม บุกเข้ามาช่วยชีวิตหนูน้อยหมวกแดง และพาคุณยายออกจากตู้เสื้อผ้าได้อย่างปลอดภัย หนูน้อยหมวกแดงสารภาพความผิด และขอโทษคุณยายที่ตัวเองเถลไถลจนได้รับอันตรายกันทั้งคู่

นิทานอีสป
          "ยายไม่โกรธอะไรหรอกจ้ะ แค่หนูไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว แต่ต้องสัญญากับยายก่อนนะว่า จะไม่เชื่อฟังคนแปลกหน้า ไม่เล่นซนจนลืมเวลาแบบคราวนี้อีก" หนูน้อยหมวกแดงพยักหน้ารับคำ พอคุณยายเห็นดังนั้นก็ยิ้มรับ แล้วเลี้ยงอาหารมื้ออร่อยให้นายพรานแทนคำขอบคุณ ก่อนทั้งสองจะพาหนูน้อยหมวกแดง กลับสู่อ้อมกอดของคุณแม่ที่บ้านโดยสวัสดิภาพ.. 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : 


          เด็ก ๆ ควรมีวินัยในตนเอง และเชื่อฟังคำสั่งสอน รวมถึงคำแนะนำของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกแล้ว ก็ไม่ควรเถลไถลไปไหนไกลจนมืดค่ำ และควรกลับบ้านให้ตรงเวลาที่กำหนด ที่สำคัญต้องพยายามหลีกเลี่ยง ไม่พูดคุย หรือรับของจากคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาด เพราะพวกเขาอาจเป็นคนไม่ดีที่หวังขโมยทรัพย์สินเงินทอง หรือทำร้ายร่างกายแล้วเป็นอันตรายต่อชีวิต เหมือนกับหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ผู้คิดวางแผนกินหนูน้อยหมวกแดงเป็นอาหาร แต่ถ้าเผลอทำตัวผิดไป ก็ต้องรู้จักขอโทษขอโพย เอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน แล้วอย่ากลับไปทำผิดซ้ำสองอีกนะคะ
ที่มา: Kapook.com

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

เก่งมาจากไหน ก็แพ้อาหารเหล่านี้ได้

เก่งมาจากไหน ก็แพ้อาหารเหล่านี้ได้







เรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความพ่ายแพ้ จากการศึกษาอัตราชุกของโรคในประเทศไทยพบว่า โรคภูมิแพ้มีความชุกหรือจำนวนผู้ป่วยต่อประชากรอยู่ที่ 15-45 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่าประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศเรานั้น เผชิญกับโรคภูมิแพ้อยู่ การแพ้อาหารเป็นหนึ่งในอาการแพ้ที่พบมากในปัจจุบัน ซึ่งความรุนแรงมีตั้งแต่อาการแพ้เล็กน้อย มีผื่นคัน ไปจนถึงขั้นส่งผลต่อชีวิตได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องรู้จักและทำความเข้าใจกับโรคแพ้อาหาร ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว

ทำไมถึงแพ้

อยากเลี้ยงสุนัขก็เลี้ยงไม่ได้ อาหารทะเลดูน่าอร่อยแค่ไหนก็ต้องอดใจ คนเป็นโรคภูมิแพ้คงสงสัยว่าทำไหมเราใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้
โรคภูมิแพ้คือโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารกระตุ้นที่แตกต่างจากคนทั่วไป เราเรียกสารกระตุ้นอย่างเช่น ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ หรืออาหาร ว่าสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่ร่างกายคนปกติจะแพ้ได้น้อยหรืออาจไม่มีอาการแพ้เลย แต่ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้นั้น ร่างกายจะตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ได้มากกว่าปกติ
อย่างการแพ้อาหาร เป็นการแพ้ที่เกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันของเราตอบสนองผิดต่อโปรตีนบางชนิดในอาหาร อธิบายง่ายๆ ว่าร่างกายเราดันไปจดจำว่าโปรตีนในอาหารชนิดหนึ่งเป็นอันตราย ระบบภูมิคุ้มกันจึงตอบสนองสารก่อภูมิแพ้นั้นด้วยการกระตุ้นให้ผลิตแอนติบอดี้ชนิด Immunoglobulin E หรือ IgE ขึ้นมาเพื่อป้องกันร่างกายจากสารอันตราย ทำให้ครั้งต่อไปเมื่อร่างกายเราได้รับโปรตีนชนิดนั้น แอนติบอดี้ IgE จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสารดังกล่าวขึ้นมาและส่งสัญญาณให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยสารฮีสทามีนและสารเคมีอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้
ในแต่ละคนมีการแพ้อาหารไม่เหมือนกัน แล้วแต่ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหาร บางครั้งอาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อนเมื่อเริ่มรับประทานอาหาร พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการบริเวณทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้ เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือดก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลง หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้ หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที หรือหลังจากทานอาหารเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน
 

ฉันแพ้ให้เธอทุกที: 5 อาหารยอดนิยมที่คนแพ้

ร่างกายของแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและแพ้ต่อสารอาหารที่ต่างกันไป แต่อาหาร 5 ประเภทนี้คืออาหารที่คนแพ้กันมากที่สุด
นมวัวนมวัวคืออาหารที่พบว่าเกิดอาหารแพ้มากโดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็ก โปรตีนในนมวัวที่ทำให้เกิดการแพ้ได้มี 2 ชนิดหลัก คือ โปรตีนเคซีนที่พบได้จากนมในส่วนที่เป็นไขนมข้นแข็งและโปรตีนเวย์ซึ่งพบในส่วนที่เป็นของเหลวหลังจากนมจับตัวเป็นไขแล้ว อาหารการแพ้นมวัวนั้นส่วนใหญ่ที่หายได้เมื่ออายุถึงประมาณ 6 ขวบ ส่วนคนที่แพ้นมวัวตลอดชีวิตนั้นมีเพียง 1% จากผู้แพ้ทั้งหมดเท่านั้น เรามักเข้าใจกันว่า การดื่มนมแล้วท้องอืด ปวดท้อง เป็นการแพ้นมวัว แต่ที่จริง มันคือ food intolerance ที่จะเล่าต่อไปต่างหาก
ไข่ไม่น่าเชื่อว่าอาหารยอดนิยมอย่างไข่จะมีผู้แพ้อยู่ไม่น้อย ไข่เป็นอีกหนึ่งอาหารที่มักพบการแพ้มากในเด็กและทารก อาการแพ้ไข่มักเกิดจากการแพ้โปรตีนในไข่ขาว แต่สามารถหายได้เมื่อโตขึ้นคล้ายๆ กับอาการแพ้นม ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การหายแพ้อยู่ที่ 68% เมื่ออายุ 16 ปีขึ้นไป
ถั่วเหลืองถั่วเหลืองเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยในเด็กทารกและเด็กอายุไม่เกิน 3 ปี มักเกิดจากการแพ้โปรตีนที่เมล็ดถั่วเหลืองเก็บสะสมไว้เป็นอาหารเพื่อการเจริญเติบโตของเมล็ดถั่วเอง และอาจเกิดจากการกินนมถั่วเหลืองมากเป็นพิเศษของแม่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมลูกได้อีกด้วย
แป้งสาลีช่วงนี้เรามักจะได้ยินสินค้าประเภทกลูเตนฟรีอยู่บ่อยๆ ซึ่งความมาแรงของสินค้าประเภทนี้มีความสัมพันธ์กับการแพ้แป้งสาลีที่พบมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากการแพ้แป้งสาลีนั้นมักมีผลมาจากการแพ้โปรตีนกลูเตนที่อยู่ในแป้ง ซึ่งอาการแพ้กลูเตนสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ในแต่ละวัยก็เกิดอาการค่อนข้างแตกต่างกัน
อาหารทะเลเปลือกแข็งการแพ้อาหารทะเลคือการแพ้ที่พบได้มากในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นการแพ้อาหารทะเลเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง ปู หอย ซึ่งโปรตีนที่เป็นสารก่อภูมิแพ้สำคัญในสัตว์ทะเลเปลือกแข็งคือโปรตีนโทรโปไมโอซิน อาการแพ้อาหารทะเลมักจะเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาตั้งแต่หลายนาทีหรือเป็นชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารเข้าไป แต่ยังสามารถเกิดขึ้นจากการได้รับสารก่อภูมิแพ้สะสมตั้งแต่เด็ก บางคนจึงเพิ่งพบว่ามีอาการแพ้เมื่อโตขึ้น แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยรับประทานได้ปกติด้วย

แพ้ไม่จริง

หลายครั้งที่เรามักสับสนการแพ้อาหาร (food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (food intolerance) ซึ่งการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ นั้นไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน แต่เกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย ตัวอย่างของการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยเช่น ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม ผู้ที่มีภาวะนี้เมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป จะรู้สึกท้องอืด ปวดท้อง และอาจจะท้องเสีย การเลือกนมประเภท lactose-free ที่สกัดน้ำตาลนมออกไปก็ช่วยได้ หรือบางคน อาจมีปฏิกิริยาต่อสารปรุงแต่งรส อย่างเช่นการกินผงชูรสเข้าไป แล้วมีอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรงหรือหงุดหงิดได้ ก็เป็นอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เช่นกัน
อีกกรณีที่หลายคนเข้าใจผิดว่าอาการแน่นหน้าอก แสบร้อนที่ปากจากการกินอาหารทะเลคือการแพ้อาหาร แต่ที่จริงแล้วอาจจะเป็นปฏิกิริยาต่อสารฟอร์มาลีนที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารทะเลจากการขนส่งเพื่อยืดอายุความสด การเลือกรับประทานอาหารทะเลจากประมงยั่งยืนที่ปลอดภัยจากสารอันตราย อาจเป็นทางออกสำหรับคนที่อยากลิ้มรสจากท้องทะเล
อีกหนึ่งอาการที่มีความใกล้เคียงการแพ้อาหารคืออาการอาหารเป็นพิษ ซึ่งอาการนี้เมื่อกินอาหารเข้าไปจะทำให้เราปวดท้องและอุจจาระร่วง ไปจนถึงระคายเคืองปอดและอาจจะเกิดการหดตัวของหลอดลมจนหอบได้ด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายเมื่อไหร่ เราจึงควรไปหาหมอให้วินิจฉัยอาการดีที่สุด

ต้องสู้ถึงจะชนะ

อีกหนึ่งสิ่งเราได้ยินเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้นั่นคือการแนะนำให้อยู่กับสารก่อภูมิแพ้บ่อยๆ แล้ววันหนึ่งภูมิคุ้มกันเราจะแข็งแรงจนเราหายแพ้ไปเอง นั่นเป็นคำแนะนำที่ค่อนข้างอันตราย แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่จริงเลยเสียทีเดียว เพราะในปัจจุบันมีวิธีการรักษาแบบ Oral Immunotherapy ซึ่งเป็นการให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่แพ้ทีละน้อยในระดับที่ปลอดภัย เพื่อสังเกตอาหารของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของเราทนต่อการรับประทานอาหารที่เคยแพ้จนอาจจะหายจากโรคแพ้อาหารได้ แต่ทำได้ในผู้แพ้อาหารบางชนิด และบางคนเท่านั้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน

รับมือกับความพ่ายแพ้

วิถีการกินที่เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้การแพ้อาหารดูจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาการแพ้อาหารใดที่ยืนยันว่าจะทำให้โรคหายขาดได้ ฉะนั้นสิ่งที่ผู้แพ้อาหารควรทำนั้นคือการเรียนรู้กับอาการแพ้ของตนเอง ให้แพทย์วินิจฉัยว่าเราแพ้อาหารชนิดใดแล้วพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารชนิดนั้น รวมไปถึงการอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนซื้ออย่างถี่ถ้วนว่ามีสิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่ เพราะเมื่อเป็นผู้แพ้อาหารแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลตนเอง
 ที่มา: https://www.greenery.org/articles/food-allergies/

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ครบรอบ 20 ปี Google Search ในไทย Doodle ไหนยอดนิยมบ้าง

ครบรอบ 20 ปี Google Search ในไทย Doodle ไหนยอดนิยมบ้าง เรารวมให้แล้ว



ครบรอบ 20 ปี Google Search ในไทย Doodle ไหนยอดนิยมบ้าง เรารวมให้แล้ว
แบไต๋
สนับสนุนเนื้อหา
จากที่ Google Search ครบรอบ 20 ปีในประเทศไทย กูเกิ้ลจึงได้รวบรวม 20 อันดับ Doodle หรือการเปลี่ยนโลโก้ของ Google  เพื่อเฉลิมฉลองวันหยุด วันคล้ายวันเกิด วันครบรอบ และชีวิตของศิลปิน นักบุกเบิก และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย มาดูกันเลยว่ามี Doodle ไหนบ้าง แล้วเราจะจำอันไหนได้บ้าง

20 Google Doodle ยอดนิยมในไทย

เทศกาลสงกรานต์ ปี 2008

ประเพณีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์เป็นแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสและเสริมความเป็นสิริมงคลในเทศกาลเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ของไทย

วันลอยกระทง ปี 2009

ประเพณีลอยกระทงเกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย

เทศกาลบุญบั้งไฟ

ประเพณีท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวไทยภาคอีสาน ซึ่งเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการบูชาเพื่อขอฝนให้ตกลงมาทันการเพาะปลูกข้าวกล้า

วันเกิดปีที่ 224 ปีของสุนทรภู่

สุนทรภู่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และได้รับสมญานามว่า “กวีสี่แผ่นดิน”
นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม

วันแม่ปี 2010/การเปลี่ยนโลโก้ ของ Google 2010

วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ซึ่งคนไทยถือว่าวันนี้เป็นวันที่ลูกๆได้แสดงความรัก และความกตัญญูต่อแม่

วันช้างไทยปี 2011

ช้าง เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมของไทยจึงได้มีการสถาปนาวันช้างไทยขึ้น
เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าของช้างไทย ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือและอนุรักษ์ช้างมากขึ้น

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคั ลแรกนาขวัญและวันเกษตรกร

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่าแก่แต่โบราณซึ่งเป็นเครื่องหมายจุดเริ่มต้นของฤดูกาลแห่งการทำนา
และยังถือเป็นวันเกษตรกรเพื่อเป็นการให้เกียรติและความเคารพแก่เกษตรกรอีกด้วย

วันภาษาไทยแห่งชาติ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเยี่ยมชมคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พบปะกับนักศึกษาและคณาจารย์และทรงตรัสถึงการใช้ คำภาษาไทยอย่างถูกต้อง และการอนุรักษ์ภาษาไทยไว้

วันเกิดปีที่ 86 ของคุณรัชนี ศรีไพรวรรณ

อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ เป็นที่รู้จักทั่วไปจากผลงานการเขียนเรื่อง “มานะ มานี ปิติ ชูใจ” ที่ใช้เป็นแบบเรียนวิชาภาษาไทยในโรงเรียนประถมทั่วประเทศไทย

วันเกิดปีที่ 124 ของศิลป์ พีระศรี

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ก่อตั้งและอาจารย์สอนวิชาศิลปะ ซึ่งภายหลังได้รับการยกฐานะให้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทยและเป็นบิดาแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร

วันเฉลิมฉลองอาจารย์เพ็ญพรรณ สิทธิไตรย์

Doodle พิเศษเพื่อรำลึกถึงอาจารย์เพ็ญพรรณ สิทธิไตรย์ ศิลปินแห่งชาติผู้ประดิษฐ์คิดค้นการทำอาหารแบบวิจิตรและการแกะสลักเครื่องสดเป็นรูปต่างๆ
วันเกิดปีที่ 88 ของคุณปยุต เงากระจ่าง
Google ร่วมฉลองวันเกิด 88 ปีปยุต เงากระจ่าง นักวาดการ์ตูนและผู้บุกเบิกวงการแอนิเมชันของไทย ด้วย Doodle แอนิเมชั่นสุดสาคร
ภาพยนตร์การ์ตูนขนาดยาวเรื่องแรกของไทยที่สร้างสรรค์โดย ปยุต เงากระจ่าง นั่นเอง

วันเกิดปีที่ 107 ของ “ป. อินทรปาลิต”

Doodle ฉลองวันเกิดนักเขียนเจ้ าของนามปากกา “ป.อินทรปาลิต” เจ้าของผลงานหนังสือชุด “สามเกลอ พล นิกร กิมหงวน” ที่มีเรื่องราวสนุกสนานมากกว่า 1,000 ตอน
วันเกิดปีที่ 112 ของคุณลมุล ยมะคุปต์
ครูนาฏศิลป์คนแรกในการวางหลักสู ตรการเรียนการสอนนาฏศิลป์ไทย โดยท่านเป็นผู้ร่างหลักสูตรให้แก่วิทยาลัยนาฏศิลป์
วันเกิดปีที่ 136 ของหลวงประดิษฐไพเราะ
นักดนตรีชาวไทยผู้มีชื่อเสียงจากการเล่นเครื่องดนตรีไทย และประพันธ์เพลงไทยเดิม ท่านเป็นตำนานดนตรีไทย โดยเฉพาะทาง “ระนาดเอก”
วันครบรอบ 55  ปี ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
เขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้ และสัตว์ป่านานาชนิดได้รับสมญานามว่าเป็น
“อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน”
วันเฉลิมฉลองผัดไทย
ผัดไทยเป็นอาหารสตรีทฟู้ดที่ขึ้นชื่อของไทยและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก
วันครบรอบ 50 ปี ของการค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นหนึ่งในสองชนิดของนกที่พบเฉพาะในประเทศไทย มีการค้นพบครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว และพบครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2523
จากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่านกสายพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้วหรือไม่
วันเกิดปีที่ 57 ของพุ่มพวง ดวงจันทร์
ร่วมรำลึกครบรอบวันเกิดราชินี เพลงลูกทุ่งขวัญใจคนไทยตลอดกาล จิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ ความขยัน และความมุ่งมั่นตั้งใจของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังเป็นอย่างมาก
วันเกิดปีที่ 85 ของแม่ประยูร ยมเยี่ยม
ศิลปินเพลงพื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญเพลงลำตัดเป็นผู้ฟื้นฟูเพลงลำตัดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
จนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง
โดย Google มีทีมงานนักออกแบบภาพที่เรียกว่า Doodler และทีมงานวิศวกรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของผลงาน Doodle กว่า 2,000 ชิ้น ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นที่น่าประทับใจ
ที่มา: Kapook.com

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

การตั้งชื่อพายุ ไขข้อสงสัย ทำไมต้องชื่อพายุไต้ฝุ่น "มังคุด" ทั้งที่แทบไม่เฉียดเข้าไทย

ไขข้อสงสัย ทำไมต้องชื่อพายุไต้ฝุ่น "มังคุด" ทั้งที่แทบไม่เฉียดเข้าไทย 


 

            สงสัยกันหรือไม่ ทำไมต้องตั้งชื่อพายุไต้ฝุ่นเป็นชื่อผลไม้ไทยอย่าง ไต้ฝุ่นมังคุด เพราะคณะกรรมการไต้ฝุ่นที่มีประเทศไทยเป็นสมาชิกช่วยกันตั้งชื่อ

พายุมังคุด
ภาพจาก Matt Leung/Shutterstock.com
             หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมช่วงหลังมานี้มีการเรียกชื่อพายุหมุนเขตร้อนด้วยชื่อผลไม้ไทยอย่าง ขนุน, มังคุด ทั้ง ๆ ที่พายุเหล่านั้นแทบจะไม่มาถล่มประเทศไทยเต็ม ๆ เลยก็ตาม โดยเรื่องนี้มีที่มาที่ไป

            เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 17 กันยายน 2561 เว็บไซต์เวิร์คพอยท์นิวส์ รายงานว่า การตั้งชื่อพายุหมุนในเขตร้อนนั้น มาจากสมาชิกทั้ง 14 รายของ คณะกรรมการไต้ฝุ่น (WMO Typhoon Committee) ซึ่งไทยเป็นสมาชิกอยู่ด้วย จะเสนอรายชื่อไต้ฝุ่นรายละ 10 ชื่อ เพื่อเป็นฐานรายชื่อในการนำไปตั้งชื่อพายุ

            โดยสมาชิกทั้ง 14 ราย ได้เสนอรายชื่อพายุรายละ 10 ชื่อ รวมเป็น 140 ชื่อ ซึ่งถูกแบ่งเป็น 5 กลุ่ม จะมีการนำไปตั้งชื่อพายุหมุนในเขตร้อนไล่เรียงกันไปตามลำดับ สำหรับชื่อพายุที่ไทยนำเสนอทั้งหมด 10 ชื่อ ประกอบด้วย พระพิรุณ มังคุด วิภา บัวลอย เมขลา อัสนี นิดา ชบา กุหลาบ และ ขนุน

พายุมังคุด

               สำหรับชื่อพายุหมุนเขตร้อนทั้งหมดนั้น ทางเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา ได้จัดทำตารางชื่อพายุ พร้อมความหมาย และที่มาของประเทศเจ้าของชื่อต่าง ๆ ดังนี้

 อุตุนิยมวิทยา 
พายุมังคุด
ภาพจาก Anthony WALLACE/AFP

พายุมังคุด
 ภาพจาก AFP PHOTO/CNA

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาworkpointnews

ที่มา: Kapook.com