ภูหลวง จังหวัดเลย
ภูหลวง จังหวัดเลย สถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ พบกับผืนป่าเขียวขจี ดอกไม้ป่าหายาก จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "มรกตแห่งอีสาน"
ภูหลวง จังหวัดเลย เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมาหลายคนอาจจะฟังดูไม่คุ้นหูนัก เมื่อเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตในจังหวัดเดียวกันอย่างภูกระดึง ถึงแม้ว่าภูหลวง อาจไม่มีทะเลหมอกตระการตาที่สวยบาดใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่าที่นี่เป็นที่หลบซ่อนตัวของเหล่าบรรดาดอกไม้ป่าสวยงามมากมาย ชนิดที่ว่าหาตัวจับได้ยากแบบสุด ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนมาดูความสวยงามของบรรดาเหล่าดอกไม้ ที่ช่วยแต่งแต้มให้ผืนป่าภูหลวงดูมีสีสันขึ้นมาอย่างถนัดตา
ภูหลวง มีความหมายว่าเขาที่ยิ่งใหญ่ หรือภูเขาของพระเจ้าแผ่นดิน ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย คำนิยามของภูหลวงดูเหมือนจะสอดคล้องกับลักษณะของเทือกเขาอันใหญ่โต ที่ทอดตัวยาวขนานดูราวเหมือนกับเป็นกำแพงยักษ์ที่ตั้งล้อมผืนป่าเอาไว้ ทั้งยังเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในเขตจังหวัดเลยอีกด้วย และเพราะด้วยลักษณะพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงที่แตกต่างกัน บวกกับอิทธิพลลมมรสุม มีผลทำให้สภาพป่าของภูหลวงแตกต่างไปด้วยเช่นกัน กล่าวคือสภาพอากาศโดยรวมมีอากาศเย็นเกือบตลอดทั้งปี มีสัตว์ป่าหลากหลายชนิด เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร โดยเฉพาะดอกไม้ป่านานาชนิด จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "มรกตแห่งอีสาน"
"ภูหลวง" ดินแดนพันธุ์ไม้มหัศจรรย์
ใครที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวที่ภูหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวที่มีความสนใจในพืชพรรณไม้ชนิดต่าง ๆ ที่นี่เป็นเหมือนเมืองสวรรค์ขนาดย่อม ๆ มีทั้งกล้วยป่า ทุ่งดอกไม้ที่สมบูรณ์สวยงาม เช่น ทุ่งกุหลาบแดง ทุ่งกุหลาบขาว เหล่านี้คุณจะได้พบเห็นที่ภูหลวงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น (อะไรจะพิเศษขนาดนี้)
ฤดูกาลบนภูหลวง
ฤดูกาลบนภูหลวงมี 3 ฤดูเหมือนกับพื้นราบ หากจะแตกต่างก็เพียงแต่ระดับของอุณหภูมิเท่านั้น ว่ากันว่าช่วงฤดูร้อนถือเป็นช่วงเวลาทองของภูหลวง เพราะจะเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม ทั้งเอื้องตาเหิน กล้วยไม้ป่าดอกขาว กุหลาบขาวและกุหลาบแดง พากันอวดโฉมความสวยงามให้เป็นประจักษ์พยานแก่นักท่องเที่ยว ช่วงฤดูฝน เป็นช่วงที่ดอกไม้ป่าดอกเล็ก ๆ โผล่ขึ้นแซมตามทุ่งหญ้า และในช่วงฤดูหนาว เป็นช่วงที่ต้นเมเปิลเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากนั้นจะร่วงหล่นผลัดใบตามพื้นดิน เรียกได้ว่าไม่ว่าฤดูกาลบนภูหลวงจะผลัดเปลี่ยนไปกี่ฤดู แต่ละช่วงก็มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ด้วยกันทั้งสิ้น
เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูหลวง
เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูหลวงเป็นเส้นทางต่อเนื่องกัน เป็นทางราบ เดินได้อย่างสบาย มีลมพัดโกรกตลอดเวลา ทำให้ไม่ร้อนเวลาเดิน พูดง่าย ๆ ว่าเดินได้อย่างฉลุย สำหรับเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่น่าสนใจของภูหลวง ได้แก่ "ลานสุริยัน" ลานหินยุคหินผุด เป็นสถานที่ที่คุณจะได้พบกล้วยไม้ป่านานาชนิดขึ้นเกาะตามกิ่งไม้และไม้ดินต่าง ๆ โดยจะออกดอกประมาณเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี "โคกพรหมจรรย์" พบกับทุ่งกุหลาบขาว ที่ออกดอกประมาณเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี และเดินต่อไปยัง "ผาสมเด็จ" เพื่อชมความงามของทิวทัศน์และทะเลหมอกสวย ๆ เรียกได้ว่าแทบทุกตารางพื้นที่ที่ภูหลวง เต็มไปด้วยทุกอณูความสวยงามด้วยกันทั้งสิ้น
เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูหลวงเป็นเส้นทางต่อเนื่องกัน เป็นทางราบ เดินได้อย่างสบาย มีลมพัดโกรกตลอดเวลา ทำให้ไม่ร้อนเวลาเดิน พูดง่าย ๆ ว่าเดินได้อย่างฉลุย สำหรับเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่น่าสนใจของภูหลวง ได้แก่ "ลานสุริยัน" ลานหินยุคหินผุด เป็นสถานที่ที่คุณจะได้พบกล้วยไม้ป่านานาชนิดขึ้นเกาะตามกิ่งไม้และไม้ดินต่าง ๆ โดยจะออกดอกประมาณเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี "โคกพรหมจรรย์" พบกับทุ่งกุหลาบขาว ที่ออกดอกประมาณเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี และเดินต่อไปยัง "ผาสมเด็จ" เพื่อชมความงามของทิวทัศน์และทะเลหมอกสวย ๆ เรียกได้ว่าแทบทุกตารางพื้นที่ที่ภูหลวง เต็มไปด้วยทุกอณูความสวยงามด้วยกันทั้งสิ้น
ตามรอยเท้าไดโนเสาร์อันซีน
ที่ภูหลวงมีการค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ครั้งแรกในเมืองไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2528 อยู่ตรงบริเวณผาเตลิ่น มีรอยลึกและชัดเจน มองไปมองมาคล้ายรอยเท้านก ปลายของแต่ละนิ้วมีร่องรอยเล็บแหลมคม มีอายุประมาณ 100-140 ล้านปี หลายคนอดทึ่งในรอยเท้าเหล่านี้ไม่ได้ จนต้องเอาเท้าของตัวเองมาวัดเพื่อเทียบขนาด ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่า รอยเท้านี้จะยิ่งใหญ่สมดังคำร่ำลือมากน้อยแค่ไหน
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวภูหลวง สามารถเข้าพักที่บ้านพักของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงได้ โดยต้องทำเรื่องขออนุญาตล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน สามารถสอบถามเพิ่มเติมในส่วนของรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง โทรศัพท์ 042 801 955 หรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ phuluang.net หรือถ้าใครสนใจอยากจะนอนเต็นท์ ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงได้จัดพื้นที่ไว้สำหรับนอนเต็นท์ตรงบริเวณโคกนกกระบา (ค่าบริการคืนละ 1,200 บาท/เต็นท์ พร้อมห้องน้ำและเครื่องทำน้ำอุ่น) โดยปกติจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าพักช่วงประมาณตุลาคม-มีนาคม ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 085 272 5946
ขอบคุณข้อมูลจาก
www.kapook.com