วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

เก่งมาจากไหน ก็แพ้อาหารเหล่านี้ได้

เก่งมาจากไหน ก็แพ้อาหารเหล่านี้ได้







เรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความพ่ายแพ้ จากการศึกษาอัตราชุกของโรคในประเทศไทยพบว่า โรคภูมิแพ้มีความชุกหรือจำนวนผู้ป่วยต่อประชากรอยู่ที่ 15-45 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่าประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศเรานั้น เผชิญกับโรคภูมิแพ้อยู่ การแพ้อาหารเป็นหนึ่งในอาการแพ้ที่พบมากในปัจจุบัน ซึ่งความรุนแรงมีตั้งแต่อาการแพ้เล็กน้อย มีผื่นคัน ไปจนถึงขั้นส่งผลต่อชีวิตได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องรู้จักและทำความเข้าใจกับโรคแพ้อาหาร ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว

ทำไมถึงแพ้

อยากเลี้ยงสุนัขก็เลี้ยงไม่ได้ อาหารทะเลดูน่าอร่อยแค่ไหนก็ต้องอดใจ คนเป็นโรคภูมิแพ้คงสงสัยว่าทำไหมเราใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้
โรคภูมิแพ้คือโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารกระตุ้นที่แตกต่างจากคนทั่วไป เราเรียกสารกระตุ้นอย่างเช่น ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ หรืออาหาร ว่าสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่ร่างกายคนปกติจะแพ้ได้น้อยหรืออาจไม่มีอาการแพ้เลย แต่ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้นั้น ร่างกายจะตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ได้มากกว่าปกติ
อย่างการแพ้อาหาร เป็นการแพ้ที่เกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันของเราตอบสนองผิดต่อโปรตีนบางชนิดในอาหาร อธิบายง่ายๆ ว่าร่างกายเราดันไปจดจำว่าโปรตีนในอาหารชนิดหนึ่งเป็นอันตราย ระบบภูมิคุ้มกันจึงตอบสนองสารก่อภูมิแพ้นั้นด้วยการกระตุ้นให้ผลิตแอนติบอดี้ชนิด Immunoglobulin E หรือ IgE ขึ้นมาเพื่อป้องกันร่างกายจากสารอันตราย ทำให้ครั้งต่อไปเมื่อร่างกายเราได้รับโปรตีนชนิดนั้น แอนติบอดี้ IgE จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสารดังกล่าวขึ้นมาและส่งสัญญาณให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยสารฮีสทามีนและสารเคมีอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้
ในแต่ละคนมีการแพ้อาหารไม่เหมือนกัน แล้วแต่ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหาร บางครั้งอาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อนเมื่อเริ่มรับประทานอาหาร พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการบริเวณทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้ เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือดก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลง หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้ หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที หรือหลังจากทานอาหารเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน
 

ฉันแพ้ให้เธอทุกที: 5 อาหารยอดนิยมที่คนแพ้

ร่างกายของแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและแพ้ต่อสารอาหารที่ต่างกันไป แต่อาหาร 5 ประเภทนี้คืออาหารที่คนแพ้กันมากที่สุด
นมวัวนมวัวคืออาหารที่พบว่าเกิดอาหารแพ้มากโดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็ก โปรตีนในนมวัวที่ทำให้เกิดการแพ้ได้มี 2 ชนิดหลัก คือ โปรตีนเคซีนที่พบได้จากนมในส่วนที่เป็นไขนมข้นแข็งและโปรตีนเวย์ซึ่งพบในส่วนที่เป็นของเหลวหลังจากนมจับตัวเป็นไขแล้ว อาหารการแพ้นมวัวนั้นส่วนใหญ่ที่หายได้เมื่ออายุถึงประมาณ 6 ขวบ ส่วนคนที่แพ้นมวัวตลอดชีวิตนั้นมีเพียง 1% จากผู้แพ้ทั้งหมดเท่านั้น เรามักเข้าใจกันว่า การดื่มนมแล้วท้องอืด ปวดท้อง เป็นการแพ้นมวัว แต่ที่จริง มันคือ food intolerance ที่จะเล่าต่อไปต่างหาก
ไข่ไม่น่าเชื่อว่าอาหารยอดนิยมอย่างไข่จะมีผู้แพ้อยู่ไม่น้อย ไข่เป็นอีกหนึ่งอาหารที่มักพบการแพ้มากในเด็กและทารก อาการแพ้ไข่มักเกิดจากการแพ้โปรตีนในไข่ขาว แต่สามารถหายได้เมื่อโตขึ้นคล้ายๆ กับอาการแพ้นม ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การหายแพ้อยู่ที่ 68% เมื่ออายุ 16 ปีขึ้นไป
ถั่วเหลืองถั่วเหลืองเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยในเด็กทารกและเด็กอายุไม่เกิน 3 ปี มักเกิดจากการแพ้โปรตีนที่เมล็ดถั่วเหลืองเก็บสะสมไว้เป็นอาหารเพื่อการเจริญเติบโตของเมล็ดถั่วเอง และอาจเกิดจากการกินนมถั่วเหลืองมากเป็นพิเศษของแม่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมลูกได้อีกด้วย
แป้งสาลีช่วงนี้เรามักจะได้ยินสินค้าประเภทกลูเตนฟรีอยู่บ่อยๆ ซึ่งความมาแรงของสินค้าประเภทนี้มีความสัมพันธ์กับการแพ้แป้งสาลีที่พบมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากการแพ้แป้งสาลีนั้นมักมีผลมาจากการแพ้โปรตีนกลูเตนที่อยู่ในแป้ง ซึ่งอาการแพ้กลูเตนสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ในแต่ละวัยก็เกิดอาการค่อนข้างแตกต่างกัน
อาหารทะเลเปลือกแข็งการแพ้อาหารทะเลคือการแพ้ที่พบได้มากในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นการแพ้อาหารทะเลเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง ปู หอย ซึ่งโปรตีนที่เป็นสารก่อภูมิแพ้สำคัญในสัตว์ทะเลเปลือกแข็งคือโปรตีนโทรโปไมโอซิน อาการแพ้อาหารทะเลมักจะเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาตั้งแต่หลายนาทีหรือเป็นชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารเข้าไป แต่ยังสามารถเกิดขึ้นจากการได้รับสารก่อภูมิแพ้สะสมตั้งแต่เด็ก บางคนจึงเพิ่งพบว่ามีอาการแพ้เมื่อโตขึ้น แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยรับประทานได้ปกติด้วย

แพ้ไม่จริง

หลายครั้งที่เรามักสับสนการแพ้อาหาร (food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (food intolerance) ซึ่งการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ นั้นไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน แต่เกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย ตัวอย่างของการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยเช่น ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม ผู้ที่มีภาวะนี้เมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป จะรู้สึกท้องอืด ปวดท้อง และอาจจะท้องเสีย การเลือกนมประเภท lactose-free ที่สกัดน้ำตาลนมออกไปก็ช่วยได้ หรือบางคน อาจมีปฏิกิริยาต่อสารปรุงแต่งรส อย่างเช่นการกินผงชูรสเข้าไป แล้วมีอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรงหรือหงุดหงิดได้ ก็เป็นอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เช่นกัน
อีกกรณีที่หลายคนเข้าใจผิดว่าอาการแน่นหน้าอก แสบร้อนที่ปากจากการกินอาหารทะเลคือการแพ้อาหาร แต่ที่จริงแล้วอาจจะเป็นปฏิกิริยาต่อสารฟอร์มาลีนที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารทะเลจากการขนส่งเพื่อยืดอายุความสด การเลือกรับประทานอาหารทะเลจากประมงยั่งยืนที่ปลอดภัยจากสารอันตราย อาจเป็นทางออกสำหรับคนที่อยากลิ้มรสจากท้องทะเล
อีกหนึ่งอาการที่มีความใกล้เคียงการแพ้อาหารคืออาการอาหารเป็นพิษ ซึ่งอาการนี้เมื่อกินอาหารเข้าไปจะทำให้เราปวดท้องและอุจจาระร่วง ไปจนถึงระคายเคืองปอดและอาจจะเกิดการหดตัวของหลอดลมจนหอบได้ด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายเมื่อไหร่ เราจึงควรไปหาหมอให้วินิจฉัยอาการดีที่สุด

ต้องสู้ถึงจะชนะ

อีกหนึ่งสิ่งเราได้ยินเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้นั่นคือการแนะนำให้อยู่กับสารก่อภูมิแพ้บ่อยๆ แล้ววันหนึ่งภูมิคุ้มกันเราจะแข็งแรงจนเราหายแพ้ไปเอง นั่นเป็นคำแนะนำที่ค่อนข้างอันตราย แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่จริงเลยเสียทีเดียว เพราะในปัจจุบันมีวิธีการรักษาแบบ Oral Immunotherapy ซึ่งเป็นการให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่แพ้ทีละน้อยในระดับที่ปลอดภัย เพื่อสังเกตอาหารของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของเราทนต่อการรับประทานอาหารที่เคยแพ้จนอาจจะหายจากโรคแพ้อาหารได้ แต่ทำได้ในผู้แพ้อาหารบางชนิด และบางคนเท่านั้น ซึ่งกระบวนการทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน

รับมือกับความพ่ายแพ้

วิถีการกินที่เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้การแพ้อาหารดูจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาการแพ้อาหารใดที่ยืนยันว่าจะทำให้โรคหายขาดได้ ฉะนั้นสิ่งที่ผู้แพ้อาหารควรทำนั้นคือการเรียนรู้กับอาการแพ้ของตนเอง ให้แพทย์วินิจฉัยว่าเราแพ้อาหารชนิดใดแล้วพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารชนิดนั้น รวมไปถึงการอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนซื้ออย่างถี่ถ้วนว่ามีสิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่ เพราะเมื่อเป็นผู้แพ้อาหารแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลตนเอง
 ที่มา: https://www.greenery.org/articles/food-allergies/

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ครบรอบ 20 ปี Google Search ในไทย Doodle ไหนยอดนิยมบ้าง

ครบรอบ 20 ปี Google Search ในไทย Doodle ไหนยอดนิยมบ้าง เรารวมให้แล้ว



ครบรอบ 20 ปี Google Search ในไทย Doodle ไหนยอดนิยมบ้าง เรารวมให้แล้ว
แบไต๋
สนับสนุนเนื้อหา
จากที่ Google Search ครบรอบ 20 ปีในประเทศไทย กูเกิ้ลจึงได้รวบรวม 20 อันดับ Doodle หรือการเปลี่ยนโลโก้ของ Google  เพื่อเฉลิมฉลองวันหยุด วันคล้ายวันเกิด วันครบรอบ และชีวิตของศิลปิน นักบุกเบิก และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย มาดูกันเลยว่ามี Doodle ไหนบ้าง แล้วเราจะจำอันไหนได้บ้าง

20 Google Doodle ยอดนิยมในไทย

เทศกาลสงกรานต์ ปี 2008

ประเพณีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์เป็นแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสและเสริมความเป็นสิริมงคลในเทศกาลเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ของไทย

วันลอยกระทง ปี 2009

ประเพณีลอยกระทงเกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย

เทศกาลบุญบั้งไฟ

ประเพณีท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวไทยภาคอีสาน ซึ่งเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการบูชาเพื่อขอฝนให้ตกลงมาทันการเพาะปลูกข้าวกล้า

วันเกิดปีที่ 224 ปีของสุนทรภู่

สุนทรภู่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และได้รับสมญานามว่า “กวีสี่แผ่นดิน”
นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม

วันแม่ปี 2010/การเปลี่ยนโลโก้ ของ Google 2010

วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ซึ่งคนไทยถือว่าวันนี้เป็นวันที่ลูกๆได้แสดงความรัก และความกตัญญูต่อแม่

วันช้างไทยปี 2011

ช้าง เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมของไทยจึงได้มีการสถาปนาวันช้างไทยขึ้น
เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าของช้างไทย ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือและอนุรักษ์ช้างมากขึ้น

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคั ลแรกนาขวัญและวันเกษตรกร

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่าแก่แต่โบราณซึ่งเป็นเครื่องหมายจุดเริ่มต้นของฤดูกาลแห่งการทำนา
และยังถือเป็นวันเกษตรกรเพื่อเป็นการให้เกียรติและความเคารพแก่เกษตรกรอีกด้วย

วันภาษาไทยแห่งชาติ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเยี่ยมชมคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พบปะกับนักศึกษาและคณาจารย์และทรงตรัสถึงการใช้ คำภาษาไทยอย่างถูกต้อง และการอนุรักษ์ภาษาไทยไว้

วันเกิดปีที่ 86 ของคุณรัชนี ศรีไพรวรรณ

อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ เป็นที่รู้จักทั่วไปจากผลงานการเขียนเรื่อง “มานะ มานี ปิติ ชูใจ” ที่ใช้เป็นแบบเรียนวิชาภาษาไทยในโรงเรียนประถมทั่วประเทศไทย

วันเกิดปีที่ 124 ของศิลป์ พีระศรี

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ก่อตั้งและอาจารย์สอนวิชาศิลปะ ซึ่งภายหลังได้รับการยกฐานะให้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทยและเป็นบิดาแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร

วันเฉลิมฉลองอาจารย์เพ็ญพรรณ สิทธิไตรย์

Doodle พิเศษเพื่อรำลึกถึงอาจารย์เพ็ญพรรณ สิทธิไตรย์ ศิลปินแห่งชาติผู้ประดิษฐ์คิดค้นการทำอาหารแบบวิจิตรและการแกะสลักเครื่องสดเป็นรูปต่างๆ
วันเกิดปีที่ 88 ของคุณปยุต เงากระจ่าง
Google ร่วมฉลองวันเกิด 88 ปีปยุต เงากระจ่าง นักวาดการ์ตูนและผู้บุกเบิกวงการแอนิเมชันของไทย ด้วย Doodle แอนิเมชั่นสุดสาคร
ภาพยนตร์การ์ตูนขนาดยาวเรื่องแรกของไทยที่สร้างสรรค์โดย ปยุต เงากระจ่าง นั่นเอง

วันเกิดปีที่ 107 ของ “ป. อินทรปาลิต”

Doodle ฉลองวันเกิดนักเขียนเจ้ าของนามปากกา “ป.อินทรปาลิต” เจ้าของผลงานหนังสือชุด “สามเกลอ พล นิกร กิมหงวน” ที่มีเรื่องราวสนุกสนานมากกว่า 1,000 ตอน
วันเกิดปีที่ 112 ของคุณลมุล ยมะคุปต์
ครูนาฏศิลป์คนแรกในการวางหลักสู ตรการเรียนการสอนนาฏศิลป์ไทย โดยท่านเป็นผู้ร่างหลักสูตรให้แก่วิทยาลัยนาฏศิลป์
วันเกิดปีที่ 136 ของหลวงประดิษฐไพเราะ
นักดนตรีชาวไทยผู้มีชื่อเสียงจากการเล่นเครื่องดนตรีไทย และประพันธ์เพลงไทยเดิม ท่านเป็นตำนานดนตรีไทย โดยเฉพาะทาง “ระนาดเอก”
วันครบรอบ 55  ปี ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
เขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้ และสัตว์ป่านานาชนิดได้รับสมญานามว่าเป็น
“อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน”
วันเฉลิมฉลองผัดไทย
ผัดไทยเป็นอาหารสตรีทฟู้ดที่ขึ้นชื่อของไทยและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก
วันครบรอบ 50 ปี ของการค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นหนึ่งในสองชนิดของนกที่พบเฉพาะในประเทศไทย มีการค้นพบครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว และพบครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2523
จากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่านกสายพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้วหรือไม่
วันเกิดปีที่ 57 ของพุ่มพวง ดวงจันทร์
ร่วมรำลึกครบรอบวันเกิดราชินี เพลงลูกทุ่งขวัญใจคนไทยตลอดกาล จิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ ความขยัน และความมุ่งมั่นตั้งใจของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังเป็นอย่างมาก
วันเกิดปีที่ 85 ของแม่ประยูร ยมเยี่ยม
ศิลปินเพลงพื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญเพลงลำตัดเป็นผู้ฟื้นฟูเพลงลำตัดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
จนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง
โดย Google มีทีมงานนักออกแบบภาพที่เรียกว่า Doodler และทีมงานวิศวกรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของผลงาน Doodle กว่า 2,000 ชิ้น ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นที่น่าประทับใจ
ที่มา: Kapook.com

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

การตั้งชื่อพายุ ไขข้อสงสัย ทำไมต้องชื่อพายุไต้ฝุ่น "มังคุด" ทั้งที่แทบไม่เฉียดเข้าไทย

ไขข้อสงสัย ทำไมต้องชื่อพายุไต้ฝุ่น "มังคุด" ทั้งที่แทบไม่เฉียดเข้าไทย 


 

            สงสัยกันหรือไม่ ทำไมต้องตั้งชื่อพายุไต้ฝุ่นเป็นชื่อผลไม้ไทยอย่าง ไต้ฝุ่นมังคุด เพราะคณะกรรมการไต้ฝุ่นที่มีประเทศไทยเป็นสมาชิกช่วยกันตั้งชื่อ

พายุมังคุด
ภาพจาก Matt Leung/Shutterstock.com
             หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมช่วงหลังมานี้มีการเรียกชื่อพายุหมุนเขตร้อนด้วยชื่อผลไม้ไทยอย่าง ขนุน, มังคุด ทั้ง ๆ ที่พายุเหล่านั้นแทบจะไม่มาถล่มประเทศไทยเต็ม ๆ เลยก็ตาม โดยเรื่องนี้มีที่มาที่ไป

            เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 17 กันยายน 2561 เว็บไซต์เวิร์คพอยท์นิวส์ รายงานว่า การตั้งชื่อพายุหมุนในเขตร้อนนั้น มาจากสมาชิกทั้ง 14 รายของ คณะกรรมการไต้ฝุ่น (WMO Typhoon Committee) ซึ่งไทยเป็นสมาชิกอยู่ด้วย จะเสนอรายชื่อไต้ฝุ่นรายละ 10 ชื่อ เพื่อเป็นฐานรายชื่อในการนำไปตั้งชื่อพายุ

            โดยสมาชิกทั้ง 14 ราย ได้เสนอรายชื่อพายุรายละ 10 ชื่อ รวมเป็น 140 ชื่อ ซึ่งถูกแบ่งเป็น 5 กลุ่ม จะมีการนำไปตั้งชื่อพายุหมุนในเขตร้อนไล่เรียงกันไปตามลำดับ สำหรับชื่อพายุที่ไทยนำเสนอทั้งหมด 10 ชื่อ ประกอบด้วย พระพิรุณ มังคุด วิภา บัวลอย เมขลา อัสนี นิดา ชบา กุหลาบ และ ขนุน

พายุมังคุด

               สำหรับชื่อพายุหมุนเขตร้อนทั้งหมดนั้น ทางเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา ได้จัดทำตารางชื่อพายุ พร้อมความหมาย และที่มาของประเทศเจ้าของชื่อต่าง ๆ ดังนี้

 อุตุนิยมวิทยา 
พายุมังคุด
ภาพจาก Anthony WALLACE/AFP

พายุมังคุด
 ภาพจาก AFP PHOTO/CNA

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาworkpointnews

ที่มา: Kapook.com

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

เรื่องน่ารู้ของแม่มะลิ ฮิปโปซุปตาร์ ที่เขาดิน

10 เกร็ดที่มาและเรื่องน่ารู้ของแม่มะลิ ฮิปโปซุปตาร์ ที่เขาดิน


ที่มา: Kapook.com

          ถ้าให้พูดถึงสัตว์ดาวเด่นของเขาดิน แน่นอนเลยว่าชื่อที่มาเป็นลำดับต้น ๆ ต้องมีชื่อของ "แม่มะลิ" อยู่ด้วยแน่ ๆ หลายคนเวลามาที่นี่ก็อดไม่ได้ที่จะแวะไปเยี่ยมชมกันที่ส่วนจัดแสดง ซึ่งแม่มะลิเท่าที่ทราบกันดี ก็คือเป็นฮิปโปโปเตมัสที่อยู่กับเขาดินมายาวนาน แต่เรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับแม่มะลิล่ะ มีอะไรอีกบ้างนะ วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณแนน-นันทกานต์ พงศ์สุพัฒน์ หัวหน้างานบำรุงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สวนสัตว์ดุสิต เลยอยากจะมาเล่าเกี่ยวกับแม่มะลิในอีกหลาย ๆ มุมให้ฟังกันค่ะ

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส
คุณแนน-นันทกานต์ พงศ์สุพัฒน์

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

1. ฮิปโปโปเตมัสอินเตอร์ 
          เห็นแม่มะลิฟังภาษาไทยรู้เรื่องเวลาที่คีปเปอร์เรียก จริง ๆ แล้วแม่มะลิไม่ได้เป็นฮิปโปโปเตมัสเชื้อสายไทยแท้นะคะ เป็นฮิปโปโปเตมัสเชื้อสายต่างประเทศ 100% เลยล่ะ โดยแม่มะลิเกิดที่ Koelner Zoo เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2509 รวมอายุก็ 52 ปีค่ะ ไม่ใช่แค่เพียงอายุที่มากขึ้นนะคะ ตอนนี้แม่มะลิก็น้ำหนักเยอะมากขึ้นเช่นกัน โดยน้ำหนักของแม่มะลิอยู่ที่ราว ๆ มากกว่า 2,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว โอ้ว...แม่คะ แม่กินอะไรเข้าไป ทำไมแม่ถึงได้หนักขนาดนี้ ใครไม่เชื่อว่าแม่มะลิตัวใหญ่ มาค่ะ มาพิสูจน์กันด้วยตาเลย ^^ 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

2. แม่มะลิเป็นฮิปโปโปเตมัสที่มีอายุยืนที่สุดในประเทศไทย 

          แม่มะลิยังดูผิวเต่งตึงแบบนี้ อายุอานามปาเข้าไป 52 ปีแล้วนะ ถ้าเทียบกับคนก็อยู่ในช่วงอายุประมาณ 70-80 ปีเลยทีเดียว ซึ่งต้องบอกว่าเกินอายุเฉลี่ยของฮิปโปโปเตมัสทั่วไปที่จะอยู่ที่ประมาณ 40-45 ปีไปมากพอสมควร ถือว่าเป็นฮิปโปโปเตมัสที่อายุยืนที่สุดในประเทศไทยค่ะ 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

3. ตัวแทนจาก Dierenpark Tilburg ประเทศเนเธอร์แลนด์ 

          นั่นแน่...งงล่ะสิ ว่าแม่มะลิเกิดที่ Koelner Zoo เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี แล้วทำไมถึงได้เป็นตัวแทนจาก Dierenpark Tilburg เมืองทิลบูรก์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ นั่นก็เป็นเพราะว่าพอแม่มะลิเกิดได้ไม่นานก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ Dierenpark Tilburg ค่ะ แล้วต่อมาก็มีการแลกเปลี่ยนสัตว์ระหว่างสวนสัตว์ดุสิตกับ Dierenpark Tilburg ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่อยู่ในสวนสัตว์ทั่วโลกนั้นจะไม่ได้ไปล่าสัตว์มานะคะ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสวนสัตว์ด้วยกันเอง ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2510 แม่มะลิจึงได้แลกเปลี่ยนมาอยู่ที่สวนสัตว์ดุสิตอย่างเป็นทางการ โดยทางเราก็ส่งชะนีไปเป็นตัวแทนจากสวนสัตว์ดุสิตค่ะ 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

4. แม่มะลิกลั้นหายใจอยู่ในน้ำได้นานมากถึง 5-6 นาที

          ไปเขาดินมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็มักจะเห็นแม่มะลินอนอยู่ในน้ำ ไม่ค่อยได้เห็นมาเดินอวดโฉมเท่าไร ทั้ง ๆ ที่เป็นสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนม นั่นก็เป็นเพราะว่าถิ่นกำเนิดของฮิปโปโปเตมัสนั้นมาจากทางฝั่งทวีปแอฟริกาค่ะ ซึ่งแดดที่นั่นจะร้อนมาก แล้วจะทำให้ผิวของฮิปโปโปเตมัสแห้ง ฮิปโปโปเตมัสเลยแสดงพฤติกรรมแบบแอมฟิบิอัส (Amphibius) คือจะคล้ายกับสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ โดยเฉพาะเวลากลางวัน เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นนั่นเอง 

          ส่วนที่เห็นแม่มะลิลงไปนอนอยู่ใต้น้ำนาน ๆ ก็เป็นความสามารถพิเศษของฮิปโปโปเตมัสอีกเช่นกัน ที่สามารถกลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำได้ยาวนานมากถึง 5-6 นาที คอยสังเกตดี ๆ นะคะ ก่อนที่แม่มะลิจะดำน้ำลงไป คุณแม่จะหายใจเข้าลึก ๆ เลยค่ะ แล้วปิดรูจมูกแน่น ก่อนที่จะดำดิ่งลงไปอยู่ใต้น้ำ พอขึ้นน้ำมาอีกทีก็จะหายใจดังมาก น่ารักจริง ๆ ค่ะ 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

5. ทำไมแม่มะลิมีเหงื่อสีแดง 


          ใครไปพบเจอแม่มะลิมา ถ้าเห็นว่าที่ตัวแม่มะลิมีน้ำสีแดงเข้ม ออกน้ำตาล ๆ ไหลออกมา อย่าตกใจกันนะ นั่นไม่ใช่เลือดของแม่มะลิค่ะ แต่นั่นเป็นเมือกที่ผลิตออกมาจากต่อมที่อยู่ลึกลงไปจากชั้นใต้ผิวหนัง โดยจะมีการผลิตออกมาเคลือบผิวหนังตลอดเวลา ซึ่งเมือกนี้จะเหนียว ๆ หนืด ๆ แรกเริ่มจะเป็นสีชมพู เมื่อมีการศึกษาก็พบว่าในเมือกนี้มีสารที่ดูดกลืนแสง (Pigment) สีแดงกับสีส้ม โดยสารทั้ง 2 ตัวนี้ จะคอยดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต พอดูดซับแสงเข้าไปแล้วก็จะเปลี่ยนสีไปเป็นสีแดงเข้ม ออกน้ำตาล ๆ คล้ายเลือด และเจ้าเมือกนี้นี่เองที่จะทำหน้าที่คล้ายกับเป็นครีมกันแดด ทำให้ผิวหนังของฮิปโปโปเตมัสชุ่มชื้น แหม...แม่มะลินี่เท่มากเลยนะ มีครีมกันแดดเป็นของตัวเองด้วย


แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

6. ผิวคล้ำ ใจดี มีไฝกลางหลัง นี่แหละแม่มะลิ 

          ฮิปโปโปเตมัสไม่ได้หน้าตาเหมือนกันทั้งหมดนะคะ ฮิปโปโปเตมัสแต่ละตัวเขาจะมีเอกลักษณ์ภายนอกบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน อย่างแม่มะลิจะผิวคล้ำค่ะ ลองเดินไปเทียบดูกับ "ถั่วแดง" ฮิปโปโปเตมัสของเขาดินอีกตัว ซึ่งเป็นเหลนของแม่มะลิ จะเห็นชัดเลยว่าแม่มะลิจะผิวคล้ำกว่ามาก และที่หลังของแม่มะลิก็จะมีไฝอยู่ค่ะ ลองสังเกตกันดู ส่วนนิสัยของแม่มะลิ พี่เขียด-สมพงษ์ สวัสดิ์นำ คีปเปอร์คู่ใจแม่มะลิ เล่าให้ฟังว่าแม่มะลิจะใจดีมาก มีความเป็นแม่สุด ๆ เมื่อครั้งที่มีฮิปโปโปเตมัสอยู่รวมกันหลาย ๆ ตัวที่เขาดิน แม่มะลิก็จะคอยดูแลทุก ๆ ตัว ห้ามไม่ให้ตัวอื่น ๆ ทะเลาะกัน และคอยปกป้องลูก รวมทั้งหลาน ๆ เหลน ๆ ไม่ใครมารังแก น่ารักจังเลยแม่มะลิ ขอเป็นแฟนคลับเลยล่ะกันนะ ^^ 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส
พี่เขียด-สมพงษ์ สวัสดิ์นำ

          อ้อ...แต่อยากฝากไว้สักนิดค่ะ ว่าจริง ๆ แล้วฮิปโปโปเตมัสค่อนข้างเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวสวนสัตว์เปิด หรือสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติไม่ว่าที่ไหนก็ตามแล้วเจอฮิปโปโปเตมัส อย่าคิดว่าเขาใจดีเหมือนแม่มะลินะคะ ตามธรรมชาติแล้วเขาจะมีเขี้ยวที่แหลมคมมาก งับ กัดสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายดายเลยล่ะ ที่สำคัญวิ่งเร็วมาก ๆ ด้วย วิ่งตามคนได้แน่นอน เพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวังนะคะ ถ้าไปแหย่แล้วเขาวิ่งตาม ก็ตัวใครตัวมันละกันนะพี่น้อง   

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

7. แม่มะลิมีลูกมากถึง 14 ตัว 


          ใครที่บอกว่าตัวเองสตรอง ลองมาเจอแม่มะลิหน่อยดีกว่า เพราะถ้าแม่มะลิไม่แข็งแรงจริง ๆ ก็ไม่สามารถมีลูกได้มากถึง 14 ตัวแน่นอน ซึ่งแต่ละตัวก็กระจายไปอยู่ตามสวนสัตว์ต่าง ๆ ในองค์การสวนสัตว์ของประเทศไทย และยังมีแลกเปลี่ยนไปอยู่ที่ประเทศลาว และประเทศมาเลเซียด้วย รายชื่อลูกแม่มะลิมีดังนี้ 

          1. ตอร์ปิโด เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2514 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ 
          2. วีรชน เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2516 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ 
          3. มะลิวัลย์ เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2519 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ 
          4. กรุณา เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2521 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
          5. หนุ่ม เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2523 ปัจจุบันอยู่เสียชีวิต
          6. ปราณี เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2524 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
          7. ไม่มีชื่อ เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2525 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
          8. มาลัย เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2527 ปัจจุบันอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย 
          9. เก่ง เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2529 ปัจจุบันอยู่ที่ฟาร์มจระเข้ 
          10. เก้า เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2530 ปัจจุบันอยู่ที่ประเทศลาว
          11. หนึ่ง เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2532 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
          12. เล็ก เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2536 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
          13. กระทง เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2539 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์นครราชสีมา
          14. มะยม เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2542 ปัจจุบันอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

8. อาหารโปรดของแม่มะลิ 

          สงสัยกันใช่ไหมคะ ว่าที่แม่มะลิตัวอ้วนถ้วนสมบูรณ์ขนาดนี้ ในแต่ละวันแม่มะลิกินอะไรบ้าง อาหารโปรดของแม่มะลิเลยก็คือ "หญ้าสด" ในหนึ่งวันแม่มะลิต้องกินหญ้าสดอย่างน้อย ๆ 50 กิโลกรัม แล้วก็มีอาหารเสริมอื่น ๆ เข้ามาบ้างค่ะ คือ กล้วยน้ำว้า 5 กิโลกรัม มันเทศ 5 กิโลกรัม และถั่วฝักยาว 5 กิโลกรัม เอิ่ม...แม่คะ ถ้าจะกินเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นคนนี่คงเลี้ยงแม่ไม่ไหวนะคะ ฮ่าๆๆ 

9. แม่มะลิกับนายกรัฐมนตรี 30 สมัย

          ถ้าให้นับเวลาที่แม่มะลิมาอยู่ที่เขาดิน ก็เป็นเวลามากกว่า 50 ปีแล้วนะคะ แน่นอนว่าในเหตุการณ์สำคัญ ๆ ต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ แม่มะลิก็ผ่านมาหมดแล้ว คิดดูสิ แม่มะลิอยู่มาจนมีนายกรัฐมนตรีถึง 30 สมัย (*อ้างอิงจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) อยู่มาตั้งแต่สมัยของนายกรัฐมนตรีจอมพล ถนอม กิตติขจร เลยล่ะ เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2554 แม่มะลิก็ผ่านมาแล้วค่ะ ตอนนั้นภายในเขาดินไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพียงแต่ว่าต้องมีการกักตุนอาหารไว้ให้สัตว์ต่าง ๆ มากขึ้น ถ้าดูเพียงเท่านี้ แม่มะลิก็อยู่กับคนไทยมายาวนานจริง ๆ และก็ยังเป็นดาวเด่นของเขาดิน พร้อมทั้งยังเป็นสัตว์ในดวงใจของใครหลายคนมาโดยตลอดด้วย :) 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส

10. การเยี่ยมชมแม่มะลิ

          สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะพบเจอกับแม่มะลิตัวจริงเสียงจริง สามารถเข้าชมแม่มะลิได้ที่บริเวณส่วนจัดแสดงฮิปโปโปเตมัส ใกล้กับส่วนจัดแสดงหมีและหลุมหลบภัยสาธารณะ ซึ่งถ้าเดินเข้าจากทางประตู 2 ฝั่งถนนราชวิถี ให้เดินเลี้ยวซ้ายผ่านส่วนจัดแสดงลิง-ค่าง เดินเลยอาคารจัดแสดงสัตว์เลื้อยคลาน ส่วนจัดแสดงหมี ก็จะเจอกับแม่มะลิค่ะ แต่ถ้าใครเข้ามาจากทางฝั่งประตู 1 ถนนพระรามที่ 5 ให้เดินเลี้ยวขวา ผ่านส่วนจัดแสดงสัตว์ป่าสงวน หลุมหลบภัยสาธารณะมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับส่วนจัดแสดงฮิปโปโปเตมัสค่ะ 

แม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส
          ได้ทำความรู้จักกับแม่มะลิไปไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ใครที่กำลังจะไปเที่ยวเขาดิน ก็อยากให้แวะไปทักทายแม่มะลิกันด้วยค่ะ หรือใครที่ยังไม่เคยไปเที่ยวเขาดิน ก็อยากเชิญชวนให้ไปเที่ยวกัน ไปสัมผัสความน่ารักของทั้งแม่มะลิและสัตว์ตัวอื่น ๆ บอกได้เลยว่าการไปเที่ยวสวนสัตว์อย่างเขาดิน คุณจะได้สิ่งดี ๆ กลับบ้านมามากกว่าความน่ารักของสัตว์แน่นอน :) 

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

ชวนชมปรากฏการณ์มหัศจรรย์ พระอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตู ปราสาทพนมรุ้ง

ชวนชมปรากฏการณ์มหัศจรรย์ พระอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตู ปราสาทพนมรุ้ง


          ชมปรากฏการณ์มหัศจรรย์ พระอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง ณ ตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ครั้งที่ 3 ของปี ในวันที่ 8-10 กันยายน 2561

          ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นเทวสถานอันงดงามในศิลปกรรมขอมที่ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ อันเป็นการผสมผสานภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรม ผ่านการก่อสร้างปราสาทให้แสงของดวงอาทิตย์ลอด 15 ช่องประตู ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนน้อยเฝ้ารอชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติดังกล่าว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก 1 ปี จะมีให้ชมเพียง 4 ครั้งเท่านั้น

          ++ ดวงอาทิตย์จะตกตรง 15 ช่องประตูปราสาท 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม และวันที่ 6-8 ตุลาคม
          ++ ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาท 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน และวันที่ 8-10 กันยายน

ปราสาทพนมรุ้ง
ภาพจาก bouybin/ Shutterstock.com

          ในปี 2561 ตามที่นักดาราศาสตร์ได้คำนวณและคาดการณ์ไว้ จะเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง ครั้งที่ 3 ของปี ในวันที่ 8-10 กันยายน 2561 โดยในวันดังกล่าวทางอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในอุทยานได้ตั้งแต่เวลา 05.30 น. 

          ทั้งนี้ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตู จะอยู่ที่เวลา 05.57 น. (นักท่องเที่ยวจะเห็นปรากฏการณ์ชัดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นตัวกำหนด) ขณะเดียวกันทางอุทยานมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ ร่วมกับตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อจัดระเบียบผู้ที่จะเข้าชมและดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเรียบร้อย

          นักท่องเที่ยวคนไหนที่สนใจอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเฝ้าชมปรากฏการณ์ดังกล่าว สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง โทรศัพท์ 044 666 251 หรือเว็บไซต์ www.finearts.go.th และ เฟซบุ๊ก อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง 

ปราสาทพนมรุ้ง
ภาพจาก oatautta/ Shutterstock.com

การเดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง

          1. ใช้เส้นทางสายบุรีรัมย์-นางรอง (ทางหลวง 218) ระยะทาง 50 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 24 ไป 14 กิโลเมตร ถึงบ้านตะโก เลี้ยวเข้าบ้านตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ (ทางหลวงหมายเลข 2117 และ 2221) ไปพนมรุ้งเป็นระยะทางอีก 12 กิโลเมตร

          2. ใช้เส้นทางสายบุรีรัมย์-ประโคนชัย ทางหลวงหมายเลข 219 เป็นระยะทาง 44 กิโลเมตร จากตัวอำเภอประโคนชัย มีทางแยกไปพนมรุ้ง ระยะทางอีก 21 กิโลเมตร (เส้นทางนี้ผ่านทางแยกเข้าปราสาทเมืองต่ำด้วย) รถโดยสาร จากสถานีขนส่งบุรีรัมย์ ขึ้นรถสายบุรีรัมย์-จันทบุรี ลงรถที่บ้านตะโกแล้วต่อรถสองแถวหรือรถจักรยานยนต์รับจ้างไปพนมรุ้ง และควรตกลงราคาค่าโดยสารก่อนเดินทาง

หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 4 กันยายน 2561 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
finearts.go.th

ที่มา: Kapook.co
m

ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต

ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต !




          ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ และมักพบบ่อยในเด็กต่ำกว่า 15 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 2-8 ขวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะไม่มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกได้ โดยเฉพาะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่ชุกชุมไปด้วยยุงตัวร้าย 

ไข้เลือดออก

 โรคไข้เลือดออกต้องระวังยุงชนิดไหน

          ยุงลายเป็นพาหะตัวร้ายของ โรคไข้เลือดออก ทางที่ดีที่จะป้องกันโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้น คือการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างไม่ให้โดนยุงกัด โดยเฉพาะยุงลาย ถ้ากำจัดลูกน้ำยุงลายบริเวณรอบ ๆ บ้านได้จะยิ่งดี


ยุงลายชอบกัดตอนไหน ช่วงไหนควรระวังพาหะไข้เลือดออก

         
 ยุงลายที่กัดเราแล้วจะทำให้เป็นโรคไข้เลือดออกมีเฉพาะยุงลายตัวเมียเท่านั้น เพราะยุงลายตัวเมียต้องการโปรตีนจากเลือดเพื่อสร้างไข่ และมักจะออกหาเหยื่อในช่วงกลางวันมากกว่ากลางคืน ฉะนั้นช่วงกลางวันจึงเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ต้องเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด แต่ทั้งนี้ช่วงเวลาไหน ๆ ก็อย่ายอมให้ยุงมาดูดเลือดเลยน่าจะปลอดภัยกว่า

          - ยุงกัดเพราะอะไร ระวังไว้ ก่อนป่วยไข้เลือดออก !

          - มาดูกัน...ยุงชอบกัดคนประเภทไหน
ไข้เลือดออก

 อาการของ ไข้เลือดออก
          อาการของ ไข้เลือดออก ไม่จำเพาะอาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ในผู้ใหญ่ที่เป็น ไข้เลือดออก อาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดว่าเป็น โรค ไข้เลือดออก อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิต ทั้งนี้ลักษณะที่สำคัญของ ไข้เลือดออก มีอาการสำคัญ 4 ประการคือ 

          1. ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40 องศาเซลเซียส มักมีหน้าแดง โดยมากไม่ค่อยมีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ เด็กโตอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัว และปวดศีรษะ อาการไข้สูงมักมีระยะ 4-5 วัน 

          2. อาการเลือดออก : เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในกระเพาะ โดยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ มีจุดเลือดออกตามตัว 

          3. ตับโต 

          4. ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก  :  มักจะเกิดช่วงไข้จะลด โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบปากเขียว อาจมีอาการปวดท้องมาก ก่อนจะมีอาการช็อก ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ 

 ตับอักเสบจากไข้เลือดออก อีกหนึ่งอาการที่ต้องระวัง

          อาการตับอักเสบอย่างรุนแรง สามารถพบได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออกเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นกรณีที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายตับ หรือเกิดจากการที่ตับถูกทำลายเพราะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหากมีอาการไข้เลือดออกแล้วก็ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากเกิดอาการตับอักเสบจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที

 ลักษณะตุ่มไข้เลือดออก

          ตุ่มโรคไข้เลือดออกจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัด แต่จะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน

 
ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ

         
 ระยะฟักตัวของไข้เลือดออกจะอยู่ในช่วง 3-5 วัน และอาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

 ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง

         
 ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ไข้จะสูงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา โดยที่กินยาลดไข้ก็ยังบรรเทาไข้ไม่ได้ ร่วมกับอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และบางรายมีอาการอาเจียนเป็นพัก ๆ หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว และบางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเล็กน้อย ทว่าในระยะ 3 วันที่ป่วยตุ่มอาจยังไม่ขึ้นให้เห็นชัด ๆ

 ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก

         
 อาการนี้จะพบในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของการป่วย และมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ป่วยจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 ซึ่งระยะนี้ถือเป็นช่วงวิกฤตของโรค อาการไข้ของผู้ป่วยจะเริ่มลดลง แต่กลับอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อแตก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันต่ำ ซึ่งเป็นภาวะช็อก และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1-2 วัน อาจทำให้เสียชีวิตได้

         
 นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งหากอยู่ในภาวะนี้อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น โดยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตภายใน 24-27 ชั่วโมง แต่หากผู้ป่วยสามารถประคองอาการให้ผ่านพ้นระยะนี้มาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรคไข้เลือดออก

 ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว

         
 ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการช็อก หรือช็อกไม่รุนแรง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของผู้ป่วยจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ โดยผู้ป่วยจะรู้สึกตัวและร่าเริงขึ้น เริ่มกินอาหารได้ โดยอาการจะดีขึ้นตามลำดับภายในช่วงระยะ 7-10 วันหลังจากผ่านพ้นระยะที่ 2 ของโรค
 การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ 
          ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย ให้พอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ รัดอยู่อย่างนั้นนาน 5 นาที และลองเอาเหรียญบาทกดทับที่บริเวณท้องแขน หากพบว่ามีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนในตําแหน่งที่ใช้เหรียญกดทับเป็นจํานวนมากกว่า 10 จุด ก็นับว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก ยิ่งถ้าหากมีไข้มาแล้ว 2 วัน ความเสี่ยงของโรคจะอยู่ประมาณ 80% เลยทีเดียว

 เมื่อใดต้องรีบส่งโรงพยาบาลทันที


          - เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ อาเจียนมาก ปวดท้อง ซึม ไม่ดื่มน้ำ กระหายน้ำตลอดเวลา มีปัสสาวะออกน้อย

          - เมื่อความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกโดยเฉพาะในช่วงไข้ลง
ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก

 แนวทางการรักษาโรค ไข้เลือดออก


           โรคไข้เลือดออก ไม่มีการรักษาเฉพาะ การรักษาเป็นเพียงการประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อก และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง โดยทั่วไปการดูแลผู้ป่วยโรค ไข้เลือดออก มีแนวทางการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนี้ 

          1. ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ยาลดไข้ที่ควรใช้คือ พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาจำพวกแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เกล็ดเลือดผิดปกติ และระคายกระเพาะอาหาร 

          2. ให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออก มักมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ในรายที่พอทานได้ให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ในรายที่ขาดน้ำมาก หรือมีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือดต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำทางเส้นเลือด 

          3. ติดตามดูอาการใกล้ชิด ถ้าผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที 

          4. ตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ เพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำชดเชย 


 จะทราบได้อย่างไรว่าผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว

          ผู้ป่วยไข้เลือดออก หากมีอาการไข้ลดลง ภายใน 24-48 ชั่วโมง แล้วเริ่มกินอะไรได้ รู้สึกตัวดี ไม่ซึม แสดงว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว  

 การปฏิบัติเมื่อมีคนในบ้าน/ข้างบ้านเป็น ไข้เลือดออก 


          เนื่องจากไข้เลือดออกระบาดโดยมียุงเป็นตัวแพร่พันธุ์ ดังนั้นเมื่อมีคนในบ้านหรือข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก ควรจะบอกคนในบ้านหรือข้างบ้านว่า มีคนเป็นไข้เลือดออกด้วย และแจ้งสาธารณสุขให้มาฉีดยาหมอกควันเพื่อฆ่ายุง รวมถึงดูแลให้สมาชิกในครอบครัวป้องกันการถูกยุงกัด สำรวจภายในบ้าน รอบบ้าน รวมทั้งเพื่อนบ้านว่ามีแหล่งแพร่พันธุ์ยุงหรือไม่ หากมีให้รีบจัดการและทำลายแหล่งแพร่พันธุ์นั้น เพื่อป้องกันการเป็นไข้เลือดออก

          นอกจากนี้ต้องคอยระวังเฝ้าดูอาการของสมาชิกในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้หรือไม่ หากมีไข้ให้ระวังว่าอาจจะเป็น ไข้เลือดออกได้

 โรคไข้เลือดออก กับยาที่ควรหลีกเลี่ยง

          ในการรักษาของผู้ป่วยไข้เลือดออกควรจะใช้ยาพาราเซตามอลในการรักษาเท่านั้น และห้ามรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน ซึ่งได้แก่ยาแอสไพรินชนิดเม็ด หรือยาแอสไพรินแบบซองที่ขายทั่วไป และยาในกลุ่มไอบูโปรเฟน เนื่องจากยาทั้งสองชนิดนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงรุนแรง คืออาจไปกัดกระเพาะทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้ ซึ่งทำให้เป็นอันตรายกับผู้ป่วยได้

 อาหารสำหรับผู้ป่วยไข้เลือดออก เป็นแล้วควรกินอะไร

          ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสและฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว โดยอาหารที่ควรรับประทานคือ ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะนาว ส้ม เลมอน หรือเกรปฟรุต เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น และควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงด้วย เพื่อให้มีเรี่ยวแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดี 
          นอกจากนี้อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก น้ำผัก หรือน้ำผลไม้ แต่ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้มากขึ้นนั่นเอง

 ไข้เลือดออกห้ามกินอะไรบ้าง รู้แล้ว เลี่ยงให้ไกล

          นอกจากจะควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ แล้ว ผู้ป่วยไข้เลือดออกนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ ประเภทอาหารทอด หรือผัด และไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดเพราะอาจจะทำให้แสบท้องและเกิดเลือดออกในกระเพาะได้ง่าย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดง สีดำ หรือสีน้ำตาล เพราะสีของอาหารอาจจะทำให้การสังเกตอาการเลือดออกในปัสสาวะและอุจจาระเป็นไปได้ยากขึ้นอีกด้วย

 เป็นไข้เลือดออกแล้วมีสิทธิ์เป็นซ้ำอีกได้ไหม

          เนื่องจากไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งในแต่ละปีจะมีการระบาดของสายพันธุ์ต่าง ๆ สลับกันไป หากผู้ป่วยติดเชื้อไข้เลือดออกสายพันธุ์ใดไปแล้ว ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันข้ามไปยังสายพันธุ์อื่นได้ระยะหนึ่ง ก่อนภูมิคุ้มกันในสายพันธุ์อื่นจะหายไป ดังนั้น ผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นได้อีกในสายพันธุ์ที่ต่างจากที่เคยเป็น แต่ทว่า การติดเชื้อครั้งที่ 2 มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการป่วยครั้งแรก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคนเรามักติดเชื้อไม่เกิน 2 ครั้ง

 การป้องกันโรค ไข้เลือดออก 

          ทุกวันนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษา ไข้เลือดออก ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยป้องกันการแพร่ของยุง  

ยุงลาย
ยุงลาย พาหะนำโรคไข้เลือดออก
การควบคุมสิ่งแวดล้อม Environmental management 
          การควบคุมสิ่งแวดล้อมเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ยุงมีการขยายพันธุ์ 

          - แท็งก์น้ำ บ่อ กะละมัง ที่เก็บกักน้ำจะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่และกลายเป็นยุง ต้องมีฝาปิดและหมั่นตรวจสอบว่ามีลูกน้ำหรือไม่ 

          - ให้ตรวจรอยรั่วของท่อน้ำ แท็งก์น้ำหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับน้ำว่ารั่วหรือไม่ โดยเฉพาะฤดูฝน

          - ตรวจสอบแจกัน ถ้วยรองขาโต๊ะ ต้องเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ สำหรับแจกันอาจจะใส่ทรายผสมลงไป ส่วยถ้วยรองขาโต๊ะให้ใส่เกลือเพื่อป้องกันลูกน้ำ 

          - หมั่นตรวจสอบถาดรองน้ำที่ตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศเพราะเป็นที่แพร่พันธุ์ของยุง โดยเฉพาะถาดระบายน้ำของเครื่องปรับอากาศซึ่งออกแบบไม่ดี โดยรูระบายน้ำอยู่เหนือก้นถาดหลายเซนติเมตร ทำให้มีน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง 

          - ตรวจสอบรอบ ๆ บ้านว่ามีแหล่งน้ำขังหรือไม่ ท่อระบายน้ำบนหลังคามีแอ่งขังน้ำหรือไม่ หากมีต้องจัดการ

          - ขวดน้ำ กระป๋อง หรือภาชนะอื่นที่อาจจะเก็บขังน้ำ หากไม่ใช้ให้ใส่ถุงหรือฝังดินเพื่อไม่ให้น้ำขัง 

          - ยางเก่าที่ไม่ใช้ก็เป็นแหล่งขังน้ำได้เช่นกัน 

          - หากใครมีรั้วไม้ หรือต้นไม้ที่มีรูกลวง ให้นำคอนกรีตเทใส่ปิดรู ต้นไผ่ต้องตัดตรงข้อและให้เทคอนกรีตปิดแอ่งน้ำ  
วิธีกำจัดลูกน้ำยุงลาย

 การป้องกันส่วนบุคคล 
          - ใส่เสื้อผ้าที่หนาพอสมควร ควรจะใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เด็กนักเรียนหญิงก็ควรใส่กางเกง 

          - การใช้ยาฆ่ายุง เช่น pyrethrum ก้อนสารเคมี 

          - การใช้กลิ่นกันยุง เช่น ตะไคร้ หรือสารเคมีอื่น ๆ 

          - นอนในมุ้ง

          - การควบคุมยุงโดยทางชีวะ 

          - เลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ 

          - ใช้แบคทีเรียที่ผลิตสาร toxin ฆ่ายุง ได้แก่ เชื้อ Bacillus thuringiensis serotype H-14 (Bt.H-14) และ Bacillus sphaericus (Bs) 

          - การใช้เครื่องมือดักจับลูกน้ำซึ่งเคยใช้ได้ผลที่สนามบินของสิงคโปร์ แต่สำหรับกรณีประเทศไทยยังได้ผลไม่ดีเนื่องจากไม่สามารถควบคุมแหล่งน้ำธรรมชาติจึงยังมีการแพร่พันธุ์ของยุง  

ฉีดสารเคมี ไข้เลือดออก

 การใช้สารเคมีในการควบคุม 
          - ใช้ยาฆ่าลูกน้ำ วิธีการนี้จะสิ้นเปลืองและไม่เหมาะที่จะใช้อย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการระบาดและได้มีการสำรวจพบว่ามีความชุกของยุงมากกว่าปกติ

          - ใช้สารลดแรงตึงผิว เช่น ผงซักฟอก สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน ฉีดพ่นกำจัดยุง เพราะสารดังกล่าวจะไปทำลายระบบการหายใจของแมลง ทำให้แมลงตายได้ 

          - ใช้ "ทรายอะเบท" กำจัดยุงลาย โดยให้นำทรายอะเบท 1 กรัม ใส่ในภาชนะที่มีน้ำขัง (อัตราส่วน 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร หรือ 20 กรัม) จะป้องกันไม่ให้เกิดลูกน้ำได้นานประมาณ 1-2 เดือนเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากใช้เสร็จแล้วต้องเก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิด รวมทั้งเก็บในที่เย็น แห้ง และมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ

          - การใช้สารเคมีพ่นตามบ้านเพื่อฆ่ายุง วิธีการนี้ใช้ในประเทศเอเชียหลายประเทศมามากกว่า 20 ปี แต่จากสถิติของการระบาดไม่ได้ลดลงเลย การพ่นหมอกควันเป็นรูปธรรมที่มองเห็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรเกี่ยวกับการระบาด แต่การพ่นหมอกควันไม่ได้ลดจำนวนประชากรของยุง ข้อเสียคือทำให้คนละเลยความปลอดภัย การพ่นหมอกควันจะมีประโยชน์ในกรณีที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก

 การระบาดของไข้เลือดออก

          ช่วงเวลาการระบาดของโรคไข้เลือดออกสามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะระบาดมากในฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปี

          หากใครมีข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคไข้เลือดออก สามารถสอบถามได้ที่สายด่วน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) หมายเลขโทรศัพท์ 1415 ตลอด 24 ชั่วโมง 

เห็นตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ยุงคือฆาตกรอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ

ไข้เลือดออก

          จากสถิติสัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในโลก 15 อันดับ ที่ gatesnotes บล็อกส่วนตัวของบิล เกตส์ ได้นำข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมทั้งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) มาสรุปให้ดูเมื่อปี 2014 จะเห็นว่า สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุง สามารถคร่าชีวิตมนุษย์เกือบล้านคนต่อปี ถือเป็นสัตว์ที่อันตรายกับสวัสดิภาพมนุษย์มากกว่าสัตว์ดุร้ายอย่างงูพิษหรือฉลามเสียอีก เอาเป็นว่าอย่ามัวเสียเวลาค่ะ มาไล่เรียง 15 สัตว์ตัวร้ายที่อาจเป็นภัยกับมนุษย์แบบเรียงตัวเลยดีกว่า

 1. ยุง

          ด้วยความที่ยุงมีขนาดตัวเล็ก บินได้คล่องตัว มนุษย์เราจึงเสี่ยงกับเชื้อไวรัสที่ยุงเป็นพาหะนำมาทำร้ายเราได้ง่ายกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้มาลาเรีย ที่คร่าชีวิตมนุษย์กว่า 600,000 คนต่อปี และเป็นพาหะที่ทำให้มนุษย์ป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งนอกจากโรคไข้มาลาเรียแล้ว เจ้ายุงที่มีมากกว่า 2,500 สายพันธุ์ ยังเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง และโรคสมองอักเสบอีกต่างหาก ซึ่งจากสถิติแล้ว ยุงที่มีพาหะของเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ ได้คร่าชีวิตมนุษย์มากถึง 725,000 คนต่อปี

 2. มนุษย์

          มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่ทำร้ายกันและกันเองมากเป็นอันดับที่ 2 โดยเฉลี่ยแล้วมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของคนด้วยกันเองถึงปีละ 475,000 คนต่อปีเลยทีเดียว

 3. งู

          สัตว์เลื้อยคลานมีพิษร้ายอย่างงู รั้งอันดับ 3 ไปด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกกว่า 50,000 คนต่อปี

 4. สุนัข (ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า)

          โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคอันตราย หากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก ซึ่งได้คร่าคนไปกว่า 25,000 คนต่อปี

 5. แมลงดูดเลือด

          พาหะนำโรคง่วงหลับมาคร่าชีวิตมนุษย์ปีละ 10,000 คนทั่วโลก

 6. มวนเพชฆาต 

          แมลงชนิดนี้มีฉายาว่า ฆาตกรแบกศพ มักพบในประเทศมาเลเซีย และเป็นแมลงที่คร่าชีวิตมนุษย์มากถึงปีละ 10,000 คนเช่นกัน

 7. หอยเชอร์รีหรือทากน้ำ

          ตัวการของโรคไข้สมองอักเสบ หากกินหอยชนิดนี้ดิบ ๆ ก็อาจได้รับเชื้อจนเพิ่มสถิติคร่าชีวิตคนจาก 10,000 คนต่อปีให้มากขึ้นได้

 8. พยาธิไส้เดือน 

          อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบคือ เจ้าพยาธิไส้เดือนนี่ล่ะ โดยจากสถิติแล้ว สัตว์ตัวเล็ก ๆ นี้คร่าคนไปกว่า 2,500 คนทั่วโลกเลยทีเดียว

 9. พยาธิตัวตืด

          พาหะนำโรคพยาธิตัวตืด ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกมาไม่ต่ำกว่า 2,000 คนต่อปี

 10. จระเข้

          สัตว์ดุร้ายที่เราเข้าใจกันมา จริง ๆ แล้วมีสถิติคร่าชีวิตมนุษย์เพียง 1,000 คนต่อปี ทิ้งห่างสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุงมาไกลโข

 11. ฮิปโปโปเตมัส

          แม้จะเป็นสัตว์ที่เราเห็นในสวนสัตว์ แต่ฮิปโปโปเตมัสก็แฝงอันตรายมากพอจะคร่าชีวิตมนุษย์ได้กว่า 500 คนต่อปี

 12. ช้าง

          ด้วยความที่ช้างอยู่ในป่าเขาเป็นส่วนใหญ่ สถิติทำร้ายมนุษย์จนถึงขั้นเสียชีวิตจึงอยู่ที่ 100 คนต่อปีเท่านั้น

 13. สิงโต

          เหตุผลเดียวกันกับช้างป่า สิงโตก็ทำร้ายมนุษย์ปีละ 100 คนโดยเฉลี่ยเช่นกัน

 14. หมาป่า

          สถิติความร้ายกาจของหมาป่าอยู่ที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปปีละ 10 คนโดยเฉลี่ย ซึ่งอาจเป็นเพราะหมาป่าไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ใกล้ตัวเรานัก

 15. ฉลาม

          วายร้ายอย่างฉลามตามสถิติแล้วถูกจัดอันดับไว้ที่ 15 ด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ 10 คนต่อปี

          จะเห็นได้ชัดเลยว่า สัตว์มีพิษหรือสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์ได้จะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก อยู่ใกล้ ๆ หรือรอบตัวเรา ซึ่งก็เป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราลืมระมัดระวังตัวเองจากวายร้ายเหล่านี้ิ จนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ที่มา: Kapook.co
m