วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

หน้ากากอนามัย N95 ต้องใส่ให้ถูกวิธี ถึงจะป้องกันฝุ่นพิษได้

หน้ากากอนามัย N95 ต้องใส่ให้ถูกวิธี ถึงจะป้องกันฝุ่นพิษได้ 


          ศ.นพ.ยง กล่าวถึงหน้ากากอนามัย N95 ป้องกันฝุ่นละอองได้ แต่ต้องใส่อย่างถูกต้อง หากมีลมออกข้างไม่ต่างจากหน้ากากคาดหู แนะควรป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษ ลดใช้ดีเซล 


          วันที่ 14 มกราคม 2562 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ถึงเรื่องหน้ากากอนามัย N95 ว่า หลังจากที่ผมโพสต์เรื่องมลพิษทางอากาศที่โยงไปถึง N95 อยากจะให้ความเห็นเพิ่มเติม หน้ากาก N95 ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อป้องกันเชื้อโรค หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก เข้าสู่ตัวเรา ขนาดของไวรัสมีขนาดเป็น nm ขนาดของแบคทีเรีย มีขนาดตั้งแต่ 0, 2 micron จนถึง 5 micron ดังนั้นฝุ่นละอองขนาด 2.5 micron จึงมีขนาดเล็กมาก ผมเชื่อได้เลยว่ามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น การใส่หน้ากาก N95 หรือหน้ากากชีวนิรภัย เราจะใช้ในห้องปฏิบัติการ อย่างที่ผมใช้อยู่ในห้องปฏิบัติการเชื้อโรค หรือใส่เข้าไปพร้อมชุดเมื่อต้องการเข้าไปตรวจโรคกับผู้ป่วย ที่อาจจะมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อโรคได้ในระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรค

          การใส่หน้ากาก N95 เราจะมีวิธีการสอน การใส่อย่างเคร่งครัด ระหว่างที่ใส่ เราจะมีการทำ fit test คือกดขอบลวดด้านบนให้แนบกับดั้งจมูก และดึงสายรัดให้ตึง ระหว่างหายใจ จะต้องไม่มีลมรั่วออกทางด้านข้างได้เลย ถึงจะป้องกันตัวเราได้ 95% ในทางปฏิบัติ การใส่ดังกล่าว การหายใจจะต้องออกแรงเพิ่มขึ้น ดังนั้นการปฏิบัติงานเราจะไม่สามารถใส่ได้เป็นระยะเวลายาวนาน อย่างที่เคยบอก ถ้าเกิน 1 ชั่วโมงก็เก่งแล้ว การใส่หน้ากาก N95 เพื่อป้องกันฝุ่นละออง ขนาดจิ๋ว และใส่ถูกวิธี ป้องกันได้แน่นอน แต่ผู้ที่ใส่จะทนได้แค่ไหน แต่ถ้าใส่ไม่ถูกวิธี หรือมีลมออกข้าง ๆ ก็คงไม่ต่างอะไรกับใส่หน้ากากคาดที่หู 


          คนป่วย คนที่ไม่แข็งแรง แล้วโดนใส่ N95 ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทนได้หรือ การใส่ N95 แล้วเดินตามถนน ลองเดินเร็ว ๆ ดู จะทนไหวไหม ก็คงขึ้นอยู่กับบุคคล โดยส่วนตัวไม่ได้คัดค้านการใส่ N95 เป็นเรื่องส่วนบุคคล ถ้าจะใส่ก็ใส่ให้ถูกวิธี ในสังคม Social Media ทำให้ขณะนี้ หน้ากาก N95 ขาดตลาด ถ้าเกิดโรคระบาดจริง ๆ ในช่วงนี้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้จะทำอย่างไร ผมเข้าใจว่าทุกคนรักสุขภาพ เป็นห่วงสุขภาพ เรากำลังจะทำเกินไปหรือไม่ ฟังฝ่ายรัฐชี้แจงว่าบริเวณไหนที่เป็นสีแดง ก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ในช่วงที่มีฝุ่นละอองขนาดจิ๋วมาก งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง 

          เรารู้ว่าการป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษจะดีที่สุด มลพิษหลักมาจากรถที่ใช้ดีเซล เราจะลดการใช้น้ำมันดีเซลได้หรือไม่ ถ้าทุกคนช่วยกันลดการใช้รถยนต์ ในอนาคตถ้าใช้ไฟฟ้าได้จะยิ่งดี ผมเชื่อว่า ถ้ามีลมหนาวหรือลมแรงพัดเข้ามา ก็จะช่วยกระจายลดมลพิษออกไปได้ รวมทั้งฝนตกได้ยิ่งดี สิ่งสำคัญ เราทุกคนต้องช่วยกัน ถ้าเห็นกรุงเทพฯ ทุกคนใส่ N95 มาเดินตามท้องถนน ก็จะเป็นเมืองแรกของโลก ที่ใช้ N95 มากที่สุดในโลก

ที่มา: Kapook.co
m

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562

เกร็ดความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เกร็ดความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เปิดเกร็ดความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก งานมหามงคลที่คนไทยควรรู้


          เปิดเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีเก่าแก่ ซึ่งเป็นงานมหามงคลที่คนไทยควรเรียนรู้ เผยเคยมีพระราชพิธีมาแล้ว 11 ครั้ง จากกษัตริย์ 9 พระองค์ ซึ่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวง ร.10 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 12


          นับเป็นข่าวน่ายินดีของคนไทยทั้งประเทศ หลังสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2562 (อ่านข่าว : ในหลวง ร.10 โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4-6 พ.ค. 62)

          สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถือเป็นพระราชพิธีเก่าแก่ เป็นงานมหามงคลที่คนไทยควรศึกษา โดยมีประวัติความเป็นมาดังนี้

          พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระราชพิธีสำหรับผู้ที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์ หรือเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อรับรองฐานะความเป็นประมุขของรัฐอย่างเป็นทางการ 
          ปรากฏหลักฐานครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย สมัยที่พ่อขุนผาเมือง ได้อภิเษกให้พระสหายคือ พ่อขุนบางกลางหาว เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ผู้ครองกรุงสุโขทัย แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดการประกอบพระราชพิธี

          กระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อขึ้นเสวยราชสมบัติ ได้ทรงทำพระราชพิธีนี้อย่างสังเขป เมื่อปี พ.ศ. 2325 ครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นได้ทรงตั้งคณะกรรมการสอบสวนแบบแผนโดยถี่ถ้วน แล้วตั้งขึ้นเป็นตำรา จากนั้นก็ทรงพิธีบรมราชาภิเษกแบบเต็มพิธี ตามตำราอีกครั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2328 และได้ใช้เป็นแบบแผนตามตำรากับรัชกาลต่อมาจนถึงปัจจุบัน 


          หากนับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ได้มีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาแล้วจำนวน 11 ครั้ง ดังนี้

          1. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จำนวน 2 ครั้ง

          2. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จำนวน 1 ครั้ง 

          3. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง 

          4. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง     

          5. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ครั้ง     

          6. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ครั้ง 

          7. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง 

          8. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 1 ครั้ง 

          สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะเป็นการประกอบพระราชพิธีครั้งที่ 12

          ทั้งนี้ หากพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใด มิได้ผ่านการพิธีบรมราชาภิเษก ถือว่าทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัวยังไม่เต็มพระองค์ เครื่องยศและพระนามต่าง ๆ จะแตกต่างไปจากพระเจ้าอยู่หัวที่ผ่านการพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว เช่น จะไม่มีคำว่า "พระบาท" นำหน้าพระนาม จะมีแค่เพียงคำว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดยหลังประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ในวันที่เดียวกันนั้นของปีถัดไป จะกลายเป็นวันฉัตรมงคล

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ภาพจาก วิกิพีเดีย

          สำหรับขั้นตอนการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยขั้นตอนหลักสำคัญ 5 ขั้นตอน ได้แก่

          ขั้นตอนที่ 1 พิธีเชิญน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญ มาเสกทำพระพุทธมนต์และน้ำเทพมนต์ เพื่อเตรียมน้ำอภิเษกและน้ำสรงพระมุรธาภิเษก ซึ่งตักมาจากแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ และมาตั้งพิธีเสกที่พุทธเจดียสถานและวัดสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย

          1. แม่น้ำป่าสัก ณ ตำบลท่าราบ ไปทำพิธีเสกน้ำที่พระพุทธบาท อันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในมณฑลประเทศที่ตั้งกรุงละโว้และกรุงศรีอยุธยา

          2. ทะเลแก้วและสระแก้ว แขวงเมืองพิษณุโลก ไปทำพิธีในพระวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีมหาธาตุ จ.พิษณุโลก อันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในโบราณราชธานีฝ่ายเหนือ

          3. น้ำโชกชมภู่ น้ำบ่อแก้ว น้ำบ่อทอง แขวงเมืองสวรรคโลก ไปทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุ เมืองสวรรคโลก อันเป็นมหาเจดียสถานโบราณราชธานีครั้งสมเด็จพระร่วง (ปัจจุบันอยู่ในเขต จ.สุโขทัย)

          4. แม่น้ำนครไชยศรี ที่ตำบลบางแก้ว ไปทำพิธีที่พระปฐมเจดีย์ เมืองนครไชยศรี อันเป็นโบราณมหาเจดีย์ตั้งแต่สมัยทวารวดี

          5. บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน บ่อวัดเสมาไชย บ่อวัดเสมาเมือง บ่อวัดประตูขาว ห้วยเขามหาชัย และน้ำบ่อปากนาคราช ในเมืองนครศรีธรรมราช ไปทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช อันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในโบราณราชธานีนครศรีธรรมราช

          6. บ่อทิพย์ เมืองนครลำพูน ไปทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุหริภุญไชย อันเป็นมหาเจดียสถานในแว่นแคว้นโบราณราชธานีทั้งหลายในฝ่ายเหนือ คือ นครหริภุญไชย นครเขลางค์ นครเชียงแสน นครเชียงราย นครพะเยา และนครเชียงใหม่

          7. บ่อวัดธาตุพนม ทำพิธีเสกที่พระธาตุพนม เมืองนครพนม มณฑลอุดรอันเป็นมหาเจดียสถานอยู่ในประเทศที่ตั้งโบราณราชธานีโคตรบูรพ์หลวง

          นอกจากนี้ ยังได้ตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปตั้งทำพิธี ณ วัดสำคัญในมณฑลต่าง ๆ อีก 10 มณฑล ได้แก่

          1. วัดบรมธาตุ เมืองชัยนาท มณฑลนครสวรรค์

          2. วัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์ มณฑลเพชรบูรณ์

          3. วัดกลาง เมืองนครราชสีมา มณฑลนครราชสีมา

          4. วัดสีทอง เมืองอุบลราชธานี มณฑลอีสาน

          5. วัดยโสธร เมืองฉะเชิงเทรา มณฑลปราจีนบุรี

          6. วัดพลับ เมืองจันทบุรี มณฑลจันทบุรี

          7. วัดตานีนรสโมสร เมืองตานี มณฑลปัตตานี

          8. วัดพระทอง เมืองถลาง มณฑลภูเก็ต

          9. วัดพระธาตุ เมืองไชยา มณฑลชุมพร

          10. วัดพระมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี มณฑลราชบุรี

          รวมสถานที่ที่ทำน้ำอภิเษกทั้งหมด 17 แห่ง และน้ำอภิเษกนี้ ยังคงใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนจากวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ มาที่พระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ และเพิ่มอีกแห่งหนึ่งที่บึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด จึงรวมเป็นที่ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษกที่หัวเมืองมณฑลต่าง ๆ รวม 18 แห่ง ต่อมาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เปลี่ยนจากพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ มาเป็นพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ภาพจาก ไทยโพสต์

          ขั้นตอนที่ 2 พระราชพิธีจารึกดวงพระราชสมภพและพระบรมนามาภิไธยพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติลงพระสุพรรณบัฏ

          ขั้นตอนที่ 3 พระราชพิธีโสรจสรงพระมุรธาภิเษก รับน้ำพระพุทธมนต์และน้ำเทพมนต์ เพื่อสรงสนานพระองค์และสรงสนานพระเศียรด้วยสหัสธารา อันเป็นการชำระและบังเกิดสิริสวัสดิมงคลยิ่งโดยโบราณราชประเพณี

          ขั้นตอนที่ 4 พระราชพิธีถวายพระราชสมบัติอันบริบูรณ์ในพระราชอาณาจักร ประมวลเป็นประมาณมาทั้งอัฐทิศแด่พระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงรับไว้อภิรักษ์ และอภิบาลให้เป็นอาณาประโยชน์แก่พสกนิกร

          ขั้นตอนที่ 5 พระราชพิธีถวายดวงพระบรมราชสมภพ พระบรมนามาภิไธย พระมหาราชครูพราหมณ์ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องมงคลสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ แสดงพระราชฐานะสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าโดยสมบูรณ์ ทรงรับเครื่องมงคลสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ แล้วจึงมีพระราชดำรัสดังปฐมราชโองการ

          โดยในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ในวันนั้นได้มีปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกภาพจาก ไทยโพสต์                                                                            ที่มา: Kapook.com